ไม่พบผลการค้นหา
"พิชัย" เห็นด้วย พปชร.ปลดทีมเศรษฐกิจ แนะต้องไล่ปลด "สมคิด- อุตตม-สนธิรัตน์" รวมทั้ง "ประยุทธ์" ชี้ ค่าไฟฟ้าแพงเพราะ กฟผ. ไปซื้อหุ้นเหมืองถ่านหินอินโดฯ ขาดทุนหมื่นล้าน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่มีกระแสความขัดแย้งกันในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และต้องการจะเปลี่ยนหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารเพื่อจะเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจของพรรค ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว และสมควรที่จะทำนานแล้ว ทั้งนี้เพราะตลอด 5 ปีกว่า ที่ผ่านมาทีมเศรษฐกิจชุดเดียวกันนี้ได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารเศรษฐกิจของไทย ทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันอย่างมากตั้งแต่ก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19แล้ว ยิ่งเมื่อเกิดการระบาดของไวรัส ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยที่เกิดจากการบริหารที่ย่ำแย่มาอย่างยาวนาน จึงทำให้เห็นการทรุดตัวในทุกเสาหลักเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ความล้มเหลวดังกล่าว ดร. วีรพงษ์ รามางกูร อดีต รองนายกรัฐมนตรี และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถึงกับใช้คำว่าเป็นความ "โง่เขลา" 

ดังนั้นจึงควรเร่งเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจทั้งชุดโดยเฉพาะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไล่มา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิราวงศ์ รมว.พลังงาน ตามลำดับ และเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนจึงขอวิเคราะห์เป็นรายบุคคลดังนี้ 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ต้องถูกเปลี่ยนคนแรก เพราะถูกหลอกให้มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้ง โดยไม่ได้รู้เลยว่าเศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่ ถ้ารู้ก็คงฉลาดพอที่จะไม่รับ อีกทั้งไม่เคยแสดงว่ามีความรู้ในหลักการทางเศรษฐกิจเลย แต่พยายามโม้ว่าตัวเองรู้เศรษฐกิจดี แต่พูดเรื่องเศรษฐกิจผิดหมดอาจจะเพราะคงถูกหลอกให้ข้อมูล แถมยังเคยพูดว่าน่าจะเอาเงินประกันสังคมที่มีจำนวนมากไปปล่อยกู้ทั้งที่ขัดต่อข้อกฏหมาย ปัจจุบันเงินประกันสังคมยังไม่ได้จ่ายให้กับประชาขนที่ตกงานเป็นจำนวนมาก คนเดือดร้อนทวงถามกันมาก แต่รัฐบาลไม่ยอมตอบว่ามีการนำไปปล่อยกู้จนเสียหายจริงหรือไม่ โดยหากพลเอกประยุทธ์ยังคงเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอยู่ เศรษฐกิจไทยจะไม่มีทางที่จะฟื้นได้

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ผลงานที่ประสพความสำเร็จเรื่องเดียวคือการหลอกให้พลเอกประยุทธ์มารับตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแทนตัวเองหลังการเลือกตั้ง โดยที่รู้ดีว่าเศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่จึงรีบกระโดดออก ซึ่งถ้าหากยอมรับว่าขาดความรู้ว่าเศรษฐกิจจะแย่ก็ยิ่งต้องควรรีบปลดออก โดยตลอด 5 ปี แม้จะเคยมีชื่อเสียง แต่กลับประสพความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ จนทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาโดยตลอดตามคำยืนยันของเวิลด์แบงก์ 

ก่อนหน้านี้เคยด่ารัฐบาลเดิมไว้อย่างไร ตัวเองกลับทำแย่กว่ามาก แถมยังชอบโกหกประชาชนไม่ได้ยึดหลักเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริง ตามที่ ดร. วีรพงษ์ รามางกูร ได้วิจารณ์ไว้ นอกจากนี้ ยังเคยประกาศว่าคนจนจะหมดประเทศในปี 2561 แต่คนจนของไทยกลับเพิ่มขึ้นเกือบ 2 ล้านคน หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 ตามที่เวิลด์แบงก์ยืนยัน นอกจากนี้ยังทำเสียหายอย่างมากที่พูดถึง ไอเอ็มเอฟพร้อมช่วยเหลือ ทำให้คนเข้าใจผิดกันหมดว่าประเทศไทยกำลังจะล้มละลาย จึงทำให้ความน่าเชื่อถือลดลงจนแทบไม่มีเหลือ

และล่าสุดยังประกาศอุ้มการบินไทย 5 หมื่นล้านบาท ทั้งที่โอกาสรอดทางธุรกิจแทบจะไม่มีเลย เพราะขนาดช่วงปกติยังบริหารกันแย่จนขาดทุน อีกทั้งธุรกิจการบินจะย่ำแย่ไปอีกนาน ขนาดบริษัทโบอิ้งยังต้องปลดคนงาน 16,000 คน ซึ่งทำให้ประชาชนสงสัยว่าเงินอัดฉีด 1.9 ล้านล้านบาทที่จะช่วยประชาชนและสนับสนุนภาคธุรกิจ จะมีการนำเงินไปสนับสนุนธุรกิจที่กำลังจะเจ๊งอยู่แล้วจำนวนเท่าไหร่ แล้วใครจะรับผิดชอบหากเกิดความเสียหายอย่างมาก

นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค พปชร. และ รมว. คลัง โดยในช่วงรัฐบาล คสช. เคยเป็น รมว. อุตสาหกรรมแต่ไม่มีใครจำผลงานได้ และอุตสาหกรรมของไทยกลับยิ่งล้าหลังมีโรงงานต้องปิดตัวจำนวนหลายพันแห่ง พอมาเป็นหัวหน้าพรรค พปชร. และมาเป็น รมว. คลัง กลับยิ่งไม่มีแนวคิดอะไร มีแต่เรื่อง ชิมช้อปใช้ ที่พิสูจน์แล้วว่าเสียเงินเปล่าเพราะแจกเงินสะเปะสะปะ เช่นแจกให้ไปเที่ยวและแจกไปช้อปปิ้ง อย่างหละหลวม ทั้งที่ตนได้เคยเตือนแล้วว่าจะทำให้กระสุนหมดไปเปล่าๆ และควรเก็บไว้ใช้ตอนจำเป็น อย่างเช่นตอนนี้ที่ประชาชนลำบากกันอย่างมาก แต่นายอุตตมกลับแจกเงินคนที่กำลังลำบากอย่างยากเย็น  

อีกทั้ง นายอุตตมยังคาดการณ์ผิดว่ามีคนเดือดร้อนเพียงแค่ 3 ล้านคน ที่ต่อมาต้องขยายไปเรื่อยๆ เป็น 9 ล้าน เป็น 14 ล้าน และเป็น 16 ล้านคน อีกทั้งระบบที่อ้างว่าเป็น AI ยังบกพร่องคนลำบากจริงกลับไม่ได้รับการเยียวยา จนทำให้ประชาชนจำนวนมากไปบุกกระทรวงการคลังแต่กลับถูกปิดประตูห้ามเข้า พอคนไปหลายวันติดกันจนเป็นข่าวด้านลบจึงคิดตั้งโต๊ะรับร้องเรียน ทั้งนี้ ดร. วีรพงษ์ยังพูดถึงนายอุตตมว่า ไม่เคยออกมาอธิบายด้านเศรษฐกิจเป็นเรื่องเป็นราวให้เข้าใจเลย นอกจากนี้ เวลามีผู้วิพากษ์วิจารณ์ทางเศรษฐกิจแทนที่นายอุตตมจะออกมาอธิบายตามหลักการเศรษฐศาสตร์ กลับส่งคนที่ไม่มีต้นทุนทางสังคมออกมาตอบโต้แบบมั่วๆ ยิ่งทำให้ภาพพจน์นายอุตตมยิ่งเสื่อมลงเหมือนคนไม่เข้าใจเศรษฐกิจที่อธิบายเองไม่เป็น 

นายสนธิรัตน์ สนธิจิราวงศ์ เลขาธิการพรรค พปชร. และ รมว. พลังงาน โดยในช่วงรัฐบาล คสช. เคยเป็น รมว. พาณิชย์ แต่ตลอด 5 ปี การส่งออกไทยขยายตัวได้ต่ำมากเฉลี่ยเพียงปีละแค่ ร้อยละ 2 เท่านั้น อีกทั้งราคาพืชผลเกษตรก็ตกต่ำมาโดยตลอด หลังเลือกตั้งได้เป็น รมว. พลังงาน ซึ่งนอกจากไม่มีผลงานอะไรแล้วยังทำประชาชนสับสน โดยประกาศจะยกเลิกน้ำมันเบนซิน E10 ที่ใช้ เอทานอลผสม 10 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมด เพื่อให้มาใช้ น้ำมันเบนซิน E20 ที่ใช้เอทานอลผสม 20 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ ราคาเอทานอลแพงกว่าราคาน้ำมันถึงกว่า 4 เท่าโดยจะทำให้ต้นทุนน้ำมันแพงขึ้น แถมจะทำในภาวะที่แอลกอฮอล์ยังขาดแคลนอีกจนต้องเลื่อนไป 

ต่อมาถูกประชาชนตำหนิกันมากว่ารัฐบาลให้อยู่บ้านแต่ค่าไฟฟ้าแพงมากถึงจะคิดได้ว่าต้องลดค่าไฟฟ้า และทั้งที่ปัจจุบันมีการผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการแล้วถึงร้อยละ 40 แต่ยังจะให้ใบอนุญาตไฟฟ้าเพิ่มอีก แถมยังให้ราคารับซื้อแพงกว่าปกติเกือบเท่าตัว ทั้งนี้ นายสนธิรัตน์ควรไปตรวจสอบการทุจริตใน กฟผ. เรื่องการซื้อหุ้นเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเชีย มูลค่า 1.17 หมื่นล้านบาท ได้หุ้นเพียง ร้อยละ 11-12 ที่ผมได้เคยคัดค้านไว้แล้ว ซึ่งตอนนี้น่าจะขาดทุนเกือบหมด เพราะโลกรังเกียจถ่านหินและราคาถ่านหินตกลงมาก และ เชื่อว่า ต้องมีผู้ได้รับผลประโยชน์จากการซื้อหุ้นนี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดต่ำลงมาก ราคาในประเทศไทยควรต้องต่ำกว่านี้ โดยต้องลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันที่ลดลง เพื่อให้ประชาชนได้ใช้น้ำมันถูกลงอีก 

ดังนั้น การที่ พปชร. จะคิดปรับทีมเศรษฐกิจทั้งหมดคือแนวทางที่ถูกต้องแล้ว เพราะทีมเศรษฐกิจ ของ พปชร. หมดความน่าเชื่อถือ และจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ และจะยิ่งทำให้ความนิยมของ พปชร เสื่อมลงเรื่อยๆ อีกทั้งในพรรคเองก็ได้ยินเสียงบ่นเสมอว่าหัวหน้าพรรคและเลขาพรรคไม่เคยดูแลความเป็นอยู่ของ สส. ในพรรคเลย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมสำหรับพรรคและสำหรับประเทศด้วย