ไม่พบผลการค้นหา
'ก้าวไกล' ผิดหวังรัฐสภาไม่รับร่าง รธน.ฉบับประชาชน ผลักความขัดแย้งลงถนน ชี้โมเดล ส.ส.ร.ของรัฐบาลล็อกสเปก ย้ำดันร่างภาคประชาชนในชั้น กมธ. จวก ผบ.ตร.-ผบช.น.ปล่อยให้ม็อบปะทะ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค และ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รองหัวหน้าพรรค นำทีม ส.ส.พรรคก้าวไกล เเถลงหลังการลงมติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวาระเเรก โดยพิธา ระบุว่าถึงเเม้ว่ารัฐสภาจะรับหลักการในร่างรัฐธรรมนูญ ร่าง1 และ 2 ของรัฐบาลเเละฝ่านค้าน แต่ ส.ส.รัฐบาล เเละ ส.ว.ส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับหลักการในร่างของภาคประชาชน ซึ่งพวกตนผิดหวังที่รัฐสภาทำลายความฝันและผลักความขัดแย้งสู่ท้องถนน

สำหรับการใช้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลเป็นร่างหลักนั้น สิ่งที่ปัญหาคือ ที่มาของสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ยังมาจากการแต่งตั้งจำนวน 50 คน จึงอาจนำสู่การล็อกสเปกของ ส.ส.ร. ที่ไม่ยึดกับพื้นฐานประชาธิปไตย และถึงแม้ว่ารัฐสภาจะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนในวาระแรก แต่ยังเชื่อว่าจะสามารถเปลี่ยนผ่านอย่างสันติได้ โดยพรรคก้าวไกลจะยังนำหลักสำคัญในร่างฉบับของประชาชนนำไปผลักดันต่อในชั้นกรรมาธิการวาระ 2 และ 3 พรรคก้าวไกลยืนยันมุ่งมั่นเพื่อให้อำนาจของ ส.ส.ร.พิจารณาได้ถูกหมวด ทุกมาตรา เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นรัฐธรรมนูญที่สะท้อนเจตจำนงของพี่น้องประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

ก้าวไกล พิธา ชัยธวัช 529.jpg


ด้าน ชัยธวัช กล่าวถึงกรณีการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อผู้ชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส.ส.ของพรรคก้าวไกลได้ไปสังเกตการณ์ตลอดทั้งวันซึ่งพบว่า การควบคุมการชุมนุมมีความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีการฉีดน้ำแรงดันสูงมีการใช้แก๊สน้ำตา โดยเป็นการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ได้สัดส่วนกับข้อเท็จจริง ทั้งยังเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและไม่เป็นไปตามหลักสากล ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บมากถึง 55 คน รวมทั้งมีประชาชนถูกแก๊สน้ำตาจนส่งผลให้มีอาการแพ้อย่างรุนแรง 32 คนเป็นอย่างน้อย

เลขาธิการพรรคก้าวไกลยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการปฏิบัติสองมาตรฐานระหว่างผู้ชุมนุมคณะราษฎรกับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อเหลือง และปล่อยให้เกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนสองกลุ่ม ทั้งนี้ สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำคือการป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะกัน แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฎคือเจ้าหน้าที่กลับไม่มีการดำเนินการอย่างเต็มที่ในจุดที่มีความอ่อนไหว และปล่อยให้เกิดการปะทะทั้งในช่วงบ่ายและในยามวิกาล เหมือนตั้งใจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ล่าสุดมีรายงานว่ามีผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรถูกยิงด้วยกระสุนจริง 6 ราย สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ตนและ ส.ส. พรรคก้าวไกล ได้ไปสังเกตการณ์ตามจุดต่างๆ และไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากการถูกยิงและระเบิดปิงปองเมื่อคืนนี

ชัยธวัช ยังตั้งคำถามไปยังผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ว่า มีตำรวจเป็นจำนวนมากมาดูสถานที่ เหตุใดจึงปล่อยให้มีบุคคลบางกลุ่มใช้อาวุธร้ายแรงต่อผู้ชุมนุมอีกฝ่ายได้ โดยไม่มีการเข้าไประงับเหตุและไม่มีการดำเนินการใดๆต่อกลุ่มผู้ใช้อาวุธหลังก่อเหตุร้ายแรงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการดำเนินการต่อการชุมนุมโดยสงบของนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งแจ้งข้อหาและออกหมายจับแกนนำผู้ชุมนุมอย่างรวดเร็วเสมอ

“หากไม่มีการดำเนินคดีต่อผู้ใช้อาวุธอย่างรวดเร็ว หมายความว่าเป็นการส่งสัญญานจากผู้บริหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติรวมทั้งนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรงว่า หลังจากนี้ผู้มีอำนาจเปิดทางอนุญาตให้กลุ่มคนเสื้อเหลืองใช้อาวุธต่อนักเรียน นิสิตนักศึกษาและประชาชนกลุ่มราษฎรที่เห็นต่างจากผู้มีอำนาจได้”

ขณะที่ พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวถึงแนวทางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อผู้ชุมนุม ว่า จะฝากไปถึงข้าราชการตำรวจที่ต้องปฏิบัติงานภายใต้เเรงกดดันในขณะนี้ เหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ปล่อยปละละเลยการเข้าไปควบคุมผู้ชุมนุมโดยสันติ เพราะผู้ชุมนุมใช้สิทธิเเละเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่ควรใช้การกระทำที่รุนเเรง อยากไปฝากไปยังผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจเเห่งชาติ ควรจะมีการเจรจาต่อรองต่อผู้ชุมนุม เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งสิ่งสำคัญคือการปฏิบัติผู้นำต้องจริงใจ เพื่อนำไปสู่การคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ชุมนุมในอนาคต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง