ไม่พบผลการค้นหา
ปี 2562 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2562 เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำมีเพียง 254 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรมาเพียง 4 เสียง

ปริ่มน้ำจนมีสภาวะที่อาจโหวตแพ้กลางสภาฯ ได้ทุกเมื่อ เพราะปี 2562 ฝ่ายค้าน 7 พรรคเป็นฝ่ายค้านมี 246 เสียง ซึ่งเป็นเสียงสูสีกับปีกรัฐบาล

จะเห็นได้ว่า รัฐบาลเคยถึงขั้นแพ้โหวตกลางรัฐสภามาแล้วในการพิจารณาในการลงมติตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และการใช้อำนาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามมาตรา 44 ซึ่งฝ่ายค้านสามารถเอาชนะรัฐบาลไปด้วยมติเสียงข้างมาก 234 ต่อ 230 เสียง เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2562 ทำให้รัฐบาลต้องแก้เกมกลางสภาฯ ด้วยการงัดข้อบังคับการประชุมสภาฯ เพื่อขอนับคะแนนใหม่

เมื่อย้อนไปก่อนหน้านั้น เสียงของรัฐบาลก็ยังแพ้โหวตกลางสภาเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2562 ข้อ 13 ว่าด้วยการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร (1) สภาสิ้นอายุ หรือ สภาถูกยุบ หรือไม่มีสภาเพราะเหตุอื่นใด โดยเสียงข้างมากของที่ประชุม 234 เสียง เห็นด้วยกับการตัดถ้อยคำดังกล่าวออกตามความเห็นกมธ.เสียงข้างน้อย ขณะที่เสียงที่สนับสนุนให้ยืนตาม กมธ.เสียงข้างมาก มีเพียง 223 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง

และก่อนหน้านั้น รัฐบาลก็แพ้โหวตกลางสภาอีกครั้ง เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2562 ระหว่างลงมติพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาฯ ข้อ 9 ว่าด้วยการทำหน้าที่ของประธานสภาฯ โดยมีมติเสียงข้างมาก 205 เสียง ต่อ 204 เสียง เห็นด้วยกับการแก้ไขข้อบังคับของกมธ. กำหนดให้ประธานสภาฯทำหน้าที่ต้องเป็นกลาง และงดออกเสียง 2 เสียง

นี่เป็นเพียงการลงมติเพื่อประลองกำลังในญัตติและข้อบังคับฯ เท่านั้น

หากนับรวมกับการแพ้โหวตระหว่างนับองค์ประชุมในสภาฯ ฝ่ายรัฐบาลเคยแพ้กติกาการยกมือกดปุ่มแสดงตนกลางประชุมฯ จนสภาฯ ล่มมาแล้ว ถึง 2 ครั้ง 2 วันติดต่อกัน

ระหว่างพิจารณาญัตติขอให้นับคะแนนใหม่ในการลงมติตั้ง กมธ.วิสามัญเพื่อศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และการใช้อำนาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามมาตรา 44 เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2562 สมาชิกแสดงตนเพียง 240 เสียง เสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง 250 เสียงจาก ส.ส.เท่าที่มีอยู่ 499 คน

และสภาฯ ล่มครั้งแรกก่อนหน้านั้นคือ วันที่ 27 พ.ย. 2562 ขณะพิจารณาญัตติขอให้นับคะแนนใหม่ในการตั้ง กมธ.วิสามัญฯ ได้เพราะมีสมาชิกแสดงตนเพียง 92 คนเท่านั้นจากส.ส.เท่าที่มีอยู่ 499 คน เนื่องจากฝ่ายค้านประท้วงด้วยการวอล์กเอาต์

ปิดประชุม-สภาล่ม อนาคตใหม่ ฝ่ายค้าน

เปิดศักราชรับปีหนูดุ 2563 ฝ่ายค้านได้ฤกษ์ 31 ม.ค. 2563 ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พร้อมพ่วงเชือดชำแหละเปิดแผล 5 รัฐมนตรีกลางสภาฯ

ฝ่ายค้าน 7 พรรค นาทีนี้เหลือเพียง 6 พรรคเท่านั้น

เนื่องด้วย พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 เสียง ได้ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการถึง 'สมพงษ์ อมรวิวัฒน์' ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แจ้งมติขอถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน หลังจากงัดมติที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2563 ขึ้นมาประกาศยกทีมพ้นพรรคฝ่ายค้านก่อนที่ 6 พรรคฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเพียง 1 วัน

ขณะที่แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยในห้องผู้นำฝ่ายค้านฯ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 31 ม.ค. 2563 ภายในรัฐสภาเกียกกาย 'สุภดิช อากาศฤกษ์' ส.ส.บัญชีรายชื่อ รักษาหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ได้นำทีม ส.ส.ของพรรคเข้ายื่นหนังสือถึงมือ 'สมพงษ์' ขอโบกมือลาฝ่ายค้าน โดยให้เหตุผลตามหนังสือว่าต้องการทำงานเป็นอิสระตามแนวทางของพรรค

หากย้อนไปก่อนที่ 6 พรรคฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

พรรคฝ่ายค้านก็ไม่มั่นใจในท่าทีของพรรคเศรษฐกิจอยู่แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ ส.ส.ของพรรคเศรษฐกิจใหม่ 5 เสียง ยกเว้น 'มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์' กดปุ่มลงมติเห็นด้วยกับการเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2563 นี่คือความไม่ไว้วางใจในหมู่ฝ่ายค้านด้วยกันเอง

ว่ากันว่าวิปฝ่ายค้านจากพรรคเพื่อไทยถึงขั้นถามตรงไปยังตัวแทนจากพรรคเศรษฐกิจใหม่ด้วยซ้ำว่า จะยังอยู่กับพรรคฝ่ายค้านหรือไม่

ทำให้ชนวนดังกล่าวนำมาสู่การลงมติของพรรคเศรษฐกิจใหม่ถอนตัวจากพรรคฝ่ายค้านในทันทีช่วงนาทีสุดท้าย

เช่นเดียวกับพรรคประชาชาติที่แกนนำพรรคยอมรับกับพรรคเพื่อไทยว่า ไม่สามารถควบคุม 'อนุมัติ ซูสารอ' ส.ส.ปัตตานีได้ ทำให้เสียงของพรรคประชาชาติเหลือเพียง 6 เสียง

พรรคเศรษฐกิจใหม่ มิ่งขวัญ

ขณะที่เสียงของพรรคเพื่อไทย 135 เสียง ก็ยังไม่สามารถควบคุมเสียงของ 'พรพิมล ธรรมสาร' ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทยได้เช่นกัน เพราะ 'พรพิมล' ก็เคยโหวตสวนมติพรรคฝ่ายค้านในการลงมติเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาฯ ปี 2563

ยิ่งบวกลบคำนวณ เลขคณิตศาสตร์เสียงของสองขั้วในสภาผู้แทนราษฎร

ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าก่อนที่จะมีเปิดประชุมเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในเดือน ก.พ.นี้

รัฐบาลมีเสียงตุนในมือแล้วเต็มพิกัดถึง 264 เสียง จาก 20 พรรค (รวมพรรคเศรษฐกิจใหม่) หรือเกินเสียงกึ่งหนึ่งขององค์ประชุมมาแล้วถึง 15 เสียง จากเดิมมีเสียงเพียง 258 เสียง

ส่วนฝ่ายค้าน 6 พรรค เหลือเสียงในสภาจากเดิม 240 เสียง ลดเหลือ 234 เสียง

ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 151 กำหนดให้ ส.ส.จํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี เป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ

เมื่อได้มีการเสนอญัตติแล้วจะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมิได้ เว้นแต่จะมีการถอนญัตติหรือการลงมตินั้น ส่วนมติไม่ไว้วางใจต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือมติไว้วางใจต้องมากกว่า 249 เสียงเท่านั้น

ประยุทธ์ สภา งบประมาณ นายก mplate.jpg

ส่วนวันเปิดประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ฝ่ายค้านขอเวลา 3 วัน หมายมั่นจองปฏิทินไว้วันที่ 19-20-21 ก.พ. 2563 แต่วิปรัฐบาลต้องการให้เปิดอภิปรายในสามวันสุดท้ายก่อนปิดสมัยประชุมรัฐสภา 28 ก.พ. 2563

เมื่อเสียงของรัฐบาลมีเต็มพิกัดสูงสุดที่ 264 เสียง หากจะมีงูเห่าเกิดขึ้นก็ไม่น่าจะมากกว่า 1-2 เสียง และหากประธานที่ประชุม 3 เสียง งดออกเสียงแล้ว เสียงของรัฐบาลก็ยังเพียงพอที่จะโหวตไว้วางใจให้นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีอีก 6 คน รอดพ้นข้อกล่าวหาที่ฝ่ายค้านเปิดแผลไว้

แม้เสียงของฝ่ายค้านจะพ่ายแพ้ในสภาฯ แต่เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ยังเป็นเวทีที่ต้องเปิดแผลของรัฐบาลให้ได้มากที่สุดด้วยสถานการณ์ปัจจัยทั้งภายในและภายนอกรัฐบาลกำลังถูกรุมเร้าอย่างหนัก

ขณะเดียวกันปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงในสภาฯ ที่พลิกขั้วเกิดขึ้นนั้น ย่อมมาจากอิทธิฤทธิ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ซึ่งเปิดทางให้ ส.ส.ในสภาฯ สามารถพลิกผันเป็นงูเห่าได้ทุกเมื่อ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง