ไม่พบผลการค้นหา
รมว.มหาดไทย สั่งตรวจสอบการกักตุนหน้ากากอนามัย ลั่นดำเนินคดีตามกฎหมายหากพบกักตุน ขณะไม่เชื่อ “ธรรมนัส” กักตุนหน้ากากอนามัย ขออย่าเชื่อข่าวโซเซียล แล้วปั่นกันเอง

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการจัดอบรมการทำหน้ากากอนามัยทางเลือกให้กับประชาชน ว่าขณะนี้การฝึกวิทยากร ที่ใช้ฐานของคนในหมู่บ้านก็มีความคืบหน้า ซึ่งได้มีการสั่งการลงไปยังจังหวัดแล้ว และในสัปดาห์นี้งบประมาณก็จะลงไปยังองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อเงินไปถึงแล้วก็จะทำการจัดซื้อจัดจ้างได้ ส่วนเรื่องของการกักตุนหน้ากาก ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการตรวจสอบ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาจำนวนร้านค้าที่ไปตรวจสอบ ก็จะมีสินค้าอยู่ไม่กี่ร้าน แต่ต้องเข้าใจว่าเมื่อหักจากการให้ทางการแพทย์แล้ว จะเหลือเพียงไม่เยอะการกระจายออกไปก็ไม่ได้ทั่วทุกพื้นที่ แต่อย่างไรก็ตามก็จะตามตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ ถ้ามีการกักตุนก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนแรงงานไทยในประเทศเกาหลีใต้ ที่จะเดินทางกลับมาไทยนั้น ต้องแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่เข้ามาก่อนวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ขณะนี้รายชื่อได้ไปถึงสาธารณสุขจังหวัดของแต่ละจังหวัดแล้ว และคงต้องให้ผู้นำชุมชน ลงไปพูดคุยทำความเข้าใจด้วย เพื่อให้ไปกักตัวป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ส่วนอีกกลุ่มก็ดำเนินการตรวจสอบอยู่ พร้อมกันนี้ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวถึง การปรับลดค่าน้ำค่าไฟว่า หากมีการเข้าสู่วาระการประชุมของคณะรัฐมนตรี ก็จะมีมติอย่างเป็นทางการออกมา

ไม่เชื่อ “ธรรมนัส” กักตุนหน้ากากอนามัย

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวถึงกรณีไลน์กลุ่ม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ถอนตัวจากรัฐบาล เพื่อกดดันให้ปรับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยย้ำว่า การพิจารณา ตัดสินใจ และรับผิดชอบเรื่องปรับคณะรัฐมนตรี อยู่ที่นายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรี รับทราบสถานการณ์ทั้งบ้านเมืองและการเมืองทุกอย่าง ซึ่งตนเห็นว่าในพรรคร่วมควรมีการพูดคุยกัน และทำเฉพาะรัฐมนตรีในพรรคของตนเอง เพราะการจะไปเสนอข้ามพรรคต้องดูเรื่องมารยาทและความเหมาะสม ขอให้มีหลักคิดให้ดี 

ส่วนเมื่อถามถึงกระแสสังคมที่เรียกร้องให้ปรับ ร.อ.ธรรมนัสออกจากตำแหน่ง จากกรณีข่าวคนใกล้ชิดรัฐมนตรีกักตุนหน้ากาก 200 ล้านชิ้นนั้น พลเอกอนุพงษ์ ระบุ เป็นไปไม่ได้ ถ้าจะมีคน กักตุนหน้ากากอนามัย ในประเทศมากขนาดนั้นเ พราะกำลังผลิตในประเทศมีจำกัด ขณะนี้สถานการณ์ที่มันเลวร้าย และซ้ำเติมกันเองก็มาจาก การปั่นข่าวในโซเชียล หลายประเทศมีสถานการณ์วุ่นวายแบบนี้จะลำบากยากเข็ญแค่ไหนก็สู้กันไป


ข่าวที่เกี่ยวข้อง :