ไม่พบผลการค้นหา
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับเครือข่ายตั้งเป้าในปี 2568 เด็กไทยกว่าร้อยละ 50 กินนมแม่อย่างเดียวนานถึง 6 เดือน

นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานแถลงข่าวรณรงค์ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และสัปดาห์นมแม่โลก ภายใต้แนวคิด “นมแม่รากฐานแห่งชีวิต” ณ ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร กระทรวงสาธารณสุข ว่า ในสัปดาห์นมแม่โลก หรือ World Breastfeeding Week  ที่นานาประเทศได้ร่วมกันกำหนดไว้ในวันที่ 1-7 ส.ค. ของทุกปี ซึ่งปีนี้กระทรวงสาธารณสุข และเครือข่ายได้ร่วมกันรณรงค์ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ภายใต้คำขวัญ “นมแม่คือรากฐานแห่งชีวิต” Breastfeeding : Foundation of Life โดยมีนโยบายที่จะส่งเสริม สนับสนุน และปกป้องให้เด็ก ทุกคนได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก คือ กินนมแม่ตั้งแต่ 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต และกินนมแม่ต่อเนื่องควบคู่อาหารตามวัยจนถึงอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้นหรือตามสูตร 1-6-2

ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทยที่จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ในปี 2559 พบว่า มีทารกไทยเพียงร้อยละ 40 ได้กินนมแม่ภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด และเพียงร้อยละ 23 ที่ได้กินนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น มีทารกเพียงร้อยละ 13 ที่ได้กินนมแม่ต่อเนื่องถึง 2 ปี กระทรวงสาธารณสุข และเครือข่าย จึงได้ตั้งเป้าหมายในปี 2568 ให้ทารกอย่างน้อยร้อยละ 50 ได้กินนมแม่อย่างเดียวถึง 6 เดือน สอดคล้องตามเป้าหมายของทุกประเทศทั่วโลก 

ด้าน นายกิตติพงษ์ เหล่านิพนธ์ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในสถานประกอบกิจการ โดยส่งเสริมสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ให้นายจ้าง ลูกจ้าง เห็นความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งจะส่งผลให้ลูกมีภูมิต้านทานโรค สุขภาพแข็งแรง พัฒนาการสมวัย และประหยัดค่าใช้จ่ายของลูกจ้างในการซื้อนมผสมให้ลูกกินซึ่งมีคุณค่าทางอาหารน้อยกว่านมแม่ ทำให้เกิดการจัดตั้งมุมนมแม่ในสถานประกอบกิจการเพื่อเป็นสวัสดิการแก่ลูกจ้าง และครอบครัว

ซึ่งนายจ้างที่เข้าร่วมโครงการจะต้องจัดสถานที่มิดชิด เหมาะสม ถูกสุขลักษณะ จัดโต๊ะ เก้าอี้ อ่างล้างมือ และตู้เย็นสำหรับให้แม่แช่นมที่บีบเก็บใส่ถุงเพื่อนำกลับไปให้ลูกกินที่บ้าน รวมถึงการให้คำปรึกษา แนะนำ มีการติดตามและประเมินผลเพื่อนำมาปรับแผนการดำเนินการส่งเสริมการจัดตั้งมุมนมแม่ในสถานประกอบกิจการอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2559 - กรกฎาคม 2561 มีสถานประกอบกิจการจัดตั้งมุมนมแม่ จำนวน 1,745 แห่ง ลูกจ้างใช้บริการมุมนมแม่ จำนวน 11,159 คน ลูกจ้างเกี่ยวข้อง 999,882 คน ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 334,770,000 บาท

ฮวน ซานแทนเดอร์ (Juan Santander) ผู้แทนองค์การยูนิเซฟและองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นหนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของลูก เพราะการเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับ 6 เดือนแรกของชีวิต คือการให้เด็กได้กินนมแม่ ซึ่งเป็นวิธีที่ทั้งฉลาดและประหยัดเพื่อให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง เจริญเติบโตได้ดี การกินนมแม่มีผลอย่างมากกับการอยู่รอดปลอดภัย สุขภาพ ภาวะทางโภชนาการ และพัฒนาการของเด็ก เด็กทารกที่ได้กินนมแม่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยน้อยกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ เด็กที่ไม่ได้รับ นมแม่เมื่อโตขึ้นจะมีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคอ้วน ภาวะไขมันในเส้นเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หอบหืดในเด็ก และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และที่สำคัญกว่านั้น เด็กที่ได้กินนมแม่อย่างเดียวในช่วง    6 เดือนแรกมีพัฒนาการด้านสติปัญญาและมีความสามารถในการเรียนรู้ได้ดีกว่า

ดร.เรนู การ์ก (Dr. Renu Garg) ผู้แทนจากองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า การให้นมแม่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่สุดสำหรับทารก และให้ประโยชน์ต่อเนื่องไปตลอดชีวิต ขอชื่นชมรัฐบาลไทยที่ได้แสดงความมุ่งมั่นในการปกป้องส่งเสริมและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เห็นได้ชัดจากการออกพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. 2560 ซึ่งในตอนนี้การวางกรอบเพื่อบังคับใช้กฎหมายมีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยขับเคลื่อนให้กฎหมายมีผลเป็นไปตามเจตนารมณ์และส่งผลระยะยาวถึงโอกาสที่เด็กไทยจะได้กินนมแม่เพิ่มขึ้น