ไม่พบผลการค้นหา
'พิชัย' ชี้ 'พล.อ.ประยุทธ์' ปรับ ครม.ทำสับสน 4 ข้อ ติงแก้ปัญหาส่วนตัวมากกว่าช่วยประเทศ แนะเลิกโกหกตัวเอง เพราะคนจะออกมาไล่มากขึ้น

พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่ได้มีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก กังวลกันว่าจะไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชนได้ จน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ต้องออกมาร้องขอความเชื่อมั่น ดังนั้น จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ทราบถึงความสับสนในวิธีคิดในการปรับ ครม.ที่ทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่น 4 ข้อดังนี้ 

1.การตั้ง 'ดอน ปรมัติถ์วินัย' เป็นรองนายกรัฐมนตรี เพิ่มขึ้นอีกตำแหน่ง โดยอ้างว่าจะให้มาช่วยเศรษฐกิจและติดต่อต่างประเทศ ซึ่งความจริงตลอด 6 ปี ดอนไม่เคยแสดงถึงวิสัยทัศน์ทางด้านนี้เลย แถมยังมีเรื่องอื้อฉาวที่ภรรยาถือหุ้นและตัวเองก็ยอมรับ แต่กลับหลุดคดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในประชาคมโลกย่ำแย่มาตลอด สื่อหลักต่างประเทศยังคงโจมดีไทยไม่หยุด แม้กระทั่งหลังเลือกตั้งแล้วก็ยิ่งโดนโจมตีหนัก โดยดอนไม่เคยแก้ไขได้เลย

อีกทั้งกระทรวงต่างประเทศภายใต้การกำกับของดอนไม่เคยทำให้การลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้เลย แถมยังมีเรื่องอื้อฉาวการประมูลอี-พาสปอร์ตที่มีข้อสงสัยกันว่าผู้ชนะการประมูล มีสเปกที่อาจจะไม่ตรงแต่ก็ช่วยกันให้ชนะการประมูล ซึ่งก่อนหน้านี้ กระแสสังคมยังเข้าใจว่าจะมีการปรับดอนออกจาก ครม. จากที่ไม่มีผลงานที่ประชาชนได้รับรู้ เหมือนกับประเทศไทย ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ แต่กลับได้รับการเลื่อนขั้น 

2.การแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ควบรองนายกฯ แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ควบรองนายกฯ ทั้งที่กระทรวงการคลังมีขอบข่ายครอบคลุมทุกกระทรวงทุกหน่วยงานและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจมากกว่ากระทรวงพลังงานมาก ไม่แน่ใจและรู้สึกสับสนว่ามีหลักคิดอย่างไร หรือ 'ปรีดี ดาวฉาย' ไม่กล้าจะมาเป็นรองนายกฯ เพราะแค่ที่กระทรวงการคลัง งานก็จะหนักอยู่แล้ว อีกทั้ง อาจจะเป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่เข้าใจกลไกทางเศรษฐกิจ การแต่งตั้งแบบนี้จะยิ่งทำให้ทำงานได้ยากและจะยิ่งเป็นปัญหา

3.การที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และ เลขาธิการพรรค ไม่ได้รับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล โดย 'พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ' เป็นแค่รองนายกฯ เฉยๆ ไม่ได้ควบกระทรวงอะไร และ 'อนุชา นาคาศัย' เลขาธิการพรรค เป็น แค่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เท่ากับไม่ให้เกียรติพรรค พปชร. ที่เป็นพรรคใหญ่สุดที่ร่วมรัฐบาล ในขณะที่พรรคใหญ่ที่ร่วมรัฐบาลพรรคอื่นๆ หัวหน้าพรรคและเลขาฯ ต่างก็มีตำแหน่งใหญ่โตกันหมด

นอกจากนี้แกนนำที่ควรได้เลื่อนขึ้นกำกับดูแลกระทรวงใหญ่ขึ้นถูกปฏิเสธ พรรค พปชร.จึงดูเป็นเหมือนพรรคที่ไร้ค่า ไม่มีราคาทางการเมืองเลย ซึ่งอาจจะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้ ถึงขนาดมีการขู่กันว่าอาจจะเกิดอาฟเตอร์ช็อก

4. การแต่งตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ทั้งที่ตำแหน่งนี้ไม่เคยมีมาตั้งแต่ ปี 2545 หรือ 18 ปีที่แล้ว ทั้งนี้เพราะกระทรวงแรงานเป็นกระทรวงเล็ก การตั้ง 'นฤมล ภิญโญสินวัฒน์' เป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงแรงงาน ทั้งที่เป็นทีมเศรษฐกิจของ พรรรค พปชร.ยิ่งตอกย้ำการไม่ให้ค่านฤมล และพรรค พปชร.เพิ่มขึ้น อีกทั้ง ยังแสดงว่า 'สุชาติ ชมกลิ่น' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน อาจจะไม่มีความสามารถเพียงพอในการบริหารกระทรวงแรงงานนี้ได้คนเดียว หรืออาจจำเป็นต้องแต่งตั้งแบบไม่เต็มใจ ซึ่งหากเห็นคุณค่านฤมลจริง ก็น่าจะตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีความสำคัญมากกว่า และสามารถแต่งตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้มากกว่า 1 คน ซึ่งในสภาวะเศรษฐกิจทรุดหนักนี้ จะสามารถมีบทบาทได้มากกว่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานนี้มาก

จาก 4 ข้อนี้ จะเห็นได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ปรับ ครม.เพื่อแก้ปัญหาของประเทศ แต่ปรับเพื่อแก้ปัญหาของตัวเองมากกว่า ภาพลักษณ์และชื่อชั้นของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลหลังปรับ ครม.กลับยิ่งแย่หนักกว่าก่อนปรับ ครม.เสียอีก ทั้งที่ปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบันหนักกว่ามาก ซึ่งจะทำให้ความลำบากของประชาชนเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ 

ที่สำคัญที่สุดคือ พล.อ.ประยุทธ์ยังยืนยันที่จะเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเอง ทั้งที่ล้มเหลวมาตลอด ในปี 2562 ที่ พล.อ.ประยุทธ์เริ่มเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยขยายได้เพียง 2.4% ในไตรมาสสุดท้าย ขยายได้ต่ำเตี้ยเพียง 1.9% ต่อเนื่องมา

ปี 2563 นี้ เศรษฐกิจไทยจะติดลบหนักถึงกว่า -10% เลย และถึงไม่มีไวรัสโควิด-19 เศรษฐกิจไทยปีนี้ก็จะติดลบแต่อาจจะไม่มากเท่านี้ ซ้ำร้าย พล.อ.ประยุทธ์ยังกล้าประกาศว่าตั้งแต่เข้ามาเศรษฐกิจไทยดีขึ้นมาตลอดจนมาเจอโควิด-19 ซึ่งยิ่งตอกย้ำความไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจและยังหลอกตัวเอง ทั้งยังตั้งใจจะหลอกประชาชนซึ่งคงไม่มีใครเชื่อแล้ว ทั้งนี้เพราะ 6 ปีตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาเศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตลอด เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำที่สุด รายได้ประชาชนส่วนใหญ่ลดลง ไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นหลายล้านคน ซึ่ง เวิลด์แบงค์ ไอเอ็มเอฟ และ เอดีบี ก็บอกตรงกัน และเป็นภาวะกบต้มชัดเจนตามที่ตนได้เคยเตือนแล้วแต่ พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย จึงได้ส่งคนมาดำเนินคดีกับตน

นอกจากนี้ การที่พรรค พปชร.ขับไล่ 'สมคิด และ 4 กุมาร' จนต้องยกทีมลาออก ก็เพราะความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ ซึ่งหากพล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมรับความจริง หรือขาดความรู้และขาดสำนึกที่จะรับทราบความจริง ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พล.อ.ประยุทธ์จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ 

ดังนั้นเรื่องแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องทำคือต้องเลิกหลอกตัวเอง แล้วยอมรับความจริง และศึกษาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อจะสามารถแก้ปัญหาได้ และถ้าพบว่าปัญหาเกิดที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์เอง ก็ต้องรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร เวลาในการบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์น่าจะหมดแล้วใช่หรือไม่ หากยังดื้อรั้นจำนวนนักศึกษาและประชาชนที่จะออกมาขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะต้านทาน