ไม่พบผลการค้นหา
นายกฯ นำคณะแถลง ดิจิทัลวอ​ล​เล็ต​ 1 หมื่น บอกทำตามนโยบายสัญญาประชาชน ยันได้ใช้จริงไตรมาส 4 - ชี้​แหล่งที่มางบ 5 แสนล้าน​ ไร้เงินกู้ ดึง ธ.ก.ส.ช่วยกลุ่มเกษตรกร - ย้ำเป็นไปตามวินัยการเงินการคลัง

เศรษฐา​ ทวี​สิน​ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง​ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ว่า​ รัฐบาลมีความยินดีที่จะประกาศให้ประชาชนทราบ​ ว่านโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท​ ผ่านดิจิทัลวอ​ล​เล็ต​ เป็นนโยบายโดยตรงของรัฐบาล​ ที่จะยกระดับเศรษฐกิจระดับประเทศ​ และระดับประชาชน รัฐบาลได้ใช้ความพยายามสูงสุด ฝ่าฟันทุกอุปสรรค และข้อจำกัดทั้งหลายจนรัฐบาลทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน​ ได้ส่งมอบนโยบายพลิกชีวิตประชาชน เป็นไปตามตัวบทกฎหมายทุกประการ รวมทั้งอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด​ 

โดยให้ร้านค้าและประชาชน สามารถลงทะเบียนและยืนยันตัวตนได้ในไตรมาส 3 ของปี 2567 โดยเงินจะส่งตรงถึงประชาชนในไตรมาส 4 ปีนี้ เป็นเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ​ ในการการจับจ่ายใช้สอยยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนและภาคธุรกิจ​ ที่จะขยายการลงทุนกิจการให้เกิดผลผลิตสินค้าที่มากขึ้น​ นำไปสู่การจ้างงาน​ สร้างอาชีพ และเกิดการหมุนเวียนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลจะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบของภาษี อาจจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ​ เป็นการเตรียมความพร้อมให้กับประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความโปร่งใสให้กับกลไกการชำระเงินของระบบเศรษฐกิจ​และรัฐบาล 

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่​ และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชน​ที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือเช่นกลุ่มเปราะบาง​ กลุ่มเกษตรกร เพื่อให้ประชาชนและชุมชนมีความเข้มแข็งในภาคเศรษฐกิจ​และสามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งจะเป็นการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพให้กับประชาชนและก่อให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ที่จะเข้ามาเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม 

ขณะที่ความคุ้มค่าการดำเนินโครงการ​ นายกรัฐมนตรีระบุว่า จะให้สิทธิ์กับประชาชน 50 ล้านคน​ ผ่านดิจิทัลวอ​ล​เล็ต​ วงเงิน 500,000 ล้านบาท และกำหนดให้ใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนด​ ซึ่งจะเป็นการเติมเงินลงสู่ฐานราก จะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยประมาณร้อยละ 1.2 ถึงร้อยละ 1.6 ซึ่งขึ้นอยู่กับรายละเอียดเงื่อนไขของโครงการ​ รัฐบาลจะดำเนินโครงการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย​ ปีพุทธศักราช 2560 โดยกระบวนการต่างๆจะต้องเป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง​ และจะต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใส​ ตรวจสอบได้ การดำเนินการโครงการจะต้องเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริตรอบคอบและระมัดระวังเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนโดยรวม ตลอดจนรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ​ อย่างเคร่งครัด

ดิจิทัลวอลเล็ต


แหล่งที่มาเงินในโครงการ​ 

ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง​ ระบุว่า จะพิจารณาวงเงิน 500,000 ล้านบาท​ สามารถบริหารจัดการผ่านงบประมาณทั้งหมด โดยเป็นการจัดการงบประมาณในปี 2567 และปี​ 2568 ควบคู่กันไป โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน 

ส่วนที่ 1: เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท  

ส่วนที่ 2: การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ​ จำนวน 172,300 ล้านบาท จะใช้มาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการ โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ท(ธ.ก.ส.) ดูแลกลุ่มประชาชนที่เป็นเกษตรกรกว่า 17 ล้านคน

ส่วนที่ 3: การบริหารจัดการฐานเงินงบประมาณปี 2567 จำนวน 175,000 ล้าน ซึ่งอาจมีการใช้งบกลางเพิ่มเติมหากวงเงินไม่เพียงพอ 

โดยหากรวมทั้ง 3 ส่วนเข้าด้วยกัน​ ก็จะได้วงเงิน 5 แสนล้านบาท 

ปลัดคลัง ยืนยันว่า การดำเนินการเป็นไปตาม กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายวินัยการเงินการคลังและกฎหมายงบประมาณ​ หรือ พ.ร.บเงินตรา พร้อมขออย่ากังวล และยืนยันว่าไม่ได้ใช้เงินสกุลอื่นแต่อย่างใด

หลักเกณฑ์คนได้ “เงินหมื่น”

จุลพันธ์​ อมรวิวัฒน์​ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังระบุว่า คณะกรรมการได้มีการให้เห็นชอบในหลายประเด็น โดยสาเหตุและความจำเป็นในการดำเนินโครงการ​ ซึ่งคณะกรรมการได้ให้ความเห็นชอบว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ​ รวม​ถึงมีแนวโน้มในการเติบโตลดลง เผชิญความท้าทายทั้งในและนอกประเทศ​ ทั้งภูมิรัฐศาสตร์​ การฟื้นตัวของรายได้ประชาชนที่มีความเหลื่อมล้ำ จากการแพร่ระบาดของโควิด 19​ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลก รัฐบาลจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเพื่อเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้กระจายตัวสู่ชุมชน โดยมีขอบเขตและเงื่อนไขที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน ควบคู่กับการระมัดระวังและป้องกันความเสี่ยงในด้านการคลัง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนโดยรวม​ ตลอดจนการรักษาวินัยการเงินการคลัง 

คณะกรรมการได้วางแนวทางการดำเนินโครงการและรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆ โดยกลุ่มเป้าหมายคือประชาชนจำนวนประมาณ 50 ล้านคน​ โดยจะมีเกณฑ์ได้แก่

  1. ผู้มีอายุเกิน 16 ปี 
  2. ไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี 
  3. เงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันทางการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท

ทั้งนี้ 2 เงื่อนไข การใช้จ่ายแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ

  1. กลุ่มแรก​ คือการใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้า​ โดยใช้จ่ายเชิงพื้นที่ในระดับอำเภอกำหนดให้มีการใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเท่านั้น​ 
  2. กลุ่มที่สอง การใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า จะไม่มีการกำหนดเงื่อนไขเชิงพื้นที่​ และร้านค้าต่อร้านค้าที่มีการแลกเปลี่ยน ด้วยการใช้จ่ายเงินสามารถใช้จ่ายได้หลายรอบ  
  3. สินค้าทุกประเภทสามารถใช้จ่ายได้​ ยกเว้นสินค้าอบายมุข​ น้ำมัน​ บริการ​ และออนไลน์ รวมถึงสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดขึ้น 
  4. สำหรับการใช้จ่ายโครงการ จะใช้ระบบที่พัฒนาขึ้นเอง โดยหน่วยงานของภาครัฐ ได้แก่ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ร่วมกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีเป้าหมายให้เป็น Super App ของรัฐบาล ด้วยการใช้งานจะต้องให้ใช้จ่ายได้กับธนาคารอื่นๆในลักษณะ Open loop จะมีความ​สำ​คัญอย่างยิ่ง เพื่อให้เกิดความรอบครอบ​ โครงสร้างงและสามารถตอบสนองตรวจสอบได้ 
  5. ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ Easy e-Receipt ไปแล้ว สามารถเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้ เพราะเป็นคนละโครงการกัน
คุณสมบัติร้านค้าที่จะเบิกเงินโครงการ
  1. ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีเท่านั้น คือภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล​ และภาษีรายได้บุคคลธรรมดา​
  2. ร้านค้าจะไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันที​หลังประชาชนใช้จ่าย
  3. ถอนเงินสดได้ก่อน​ก็ต่อเมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่รอบที่ 2 เป็นต้นไป เพื่อลดความเสี่ยงต่อการทุจริต
ระยะเวลาดำเนินการ
  1. ประชาชนและร้านค้า สามารถเข้าร่วมโครงการได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ปลายเดือน
  2. เริ่มใช้จ่ายใน ไตรมาสที่ 4 ของปี 2567

เพื่อป้องกันทุจริตและโครงการคณะกรรมการได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการตรวจสอบ โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ​ เป็นประธาน มีผู้บัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นกรรมการ


ทีมตรวจสอบโครงการ

ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการ มี จุลพันธ์ เป็นประธาน ทำให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามเงื่อนไขและระเบียบ​ที่ถูกต้อง​ รวมไปถึงประชาสัมพันธ์โครงการ โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลัง​ ในฐานะคณะกรรมการ นำมติที่ได้รับการเห็นชอบเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไปภายในเดือนเมษายนนี้

เมื่อถามว่า ความตั้งใจผิดจากแรกในการหาเสียงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ทุกอย่างชัดเจนในแง่ของหลักการ ว่าเราต้องทำเพื่ออะไร แหล่งที่มาของเงินมีโอกาสที่จะเกิดขึ้น แต่เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ที่ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะ ซึ่งมีการตั้งคณะกรรมการต่างๆ ซึ่งมีการดูอย่างดี เพื่อให้โครงการนี้เป็นโครงการที่โปร่งใส ผลประโยชน์ทุกบาททุกสตางค์เข้าไปอยู่กับประชาชน

ส่วนที่ไม่ใช่การกู้เงิน แต่ใช้เงินจาก ธ.ก.ส.นั้นเงินที่จะใช้จาก ธ.ก.ส ต้องมีการตั้งงบประมาณในการใช้หนี้และดอกเบี้ยอย่างไรนั้น ปลัดกระทรวงการคลัง​ ระบุว่า เหตุผลที่ใช้เงินจากธนาคาร ธ.ก.ส.เพราะมีสภาพคล่อง ซึ่งตนยืนยันว่าจะมีการตั้งงบคืน ซึ่งต้องขอรอดูงบปี​2568 ออกมาก่อนจึงจะทราบรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อถามว่า เงินที่จะเข้ากระเป๋าประชาชน 10,000 บาท​ จะเข้าล็อตเดียว หรือเป็นการทยอยจ่าย จุลพันธ์​ ระบุว่า​ เข้าครั้งเดียว 

เมื่อถามต่อว่า ร้านค้าที่จะเบิกเงินได้​ เมื่อมีการใช้จ่ายของประชาชนเป็นครั้งที่ 2 จะมีการวัดเกณฑ์อย่างไรนั้น จุลพันธ์ อธิบายว่า มีข้อห่วงใยในเรื่องของทุจริตคอรัปชั่น 

ขณะที่องค์ประชุมของบอร์ดชุดใหญ่ 2 กำลังติดกันผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย​ ไม่ได้มาเข้าร่วมการประชุมในครั้งถือเป็นปัจจัยหรือการตั้งคำถามตามมาหรือไม่นาย​จุลพันธ์ระบุว่าไม่น่าเกิดประเด็นอะไร​ เนื่องจากส่งตัวแทนมาเป็นไปตามกฎหมายถูกต้องทุกประการ ส่วนคนไหนอยู่ไม่อยู่ในที่ประชุมหลายท่านก็อาจจะไม่อยู่ในที่ประชุมในวันนี้ ยืนยันว่าไม่มีประเด็นอะไร 

เมื่อถามต่อว่า นายกฯ เองก็ไม่ได้ซีเรียสใช่หรือไม่ ที่ผู้ว่า ธปท.ไม่เข้ามาร่วมประชุม 2 ครั้ง นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ท่านบอกว่าท่านติดภารกิจ ก็รับทราบอย่างที่รัฐมนตรีช่วยบอก เป็นไปตามกฎหมายมีการส่งมอบตัวแทนมา ทุกอย่างเป็นไปอย่างชอบธรรมและถูกต้อง

ส่วน GDP ที่จะมีการปรับขึ้น ผลกระทบจะตกอยู่ในปี 2568 เป็นหลัก 5% ไหม​ จุล​พันธ์​ ยืนยันว่า 'แน่นอน' ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน เป็น 2 ในหลายๆ โครงการ ได้กระทบเศรษฐกิจเศรษฐกิจ กรุงไทย ในการ สร้างการกระจายทั้งสองด้านเศรษฐกิจเหมือนเดิม

เมื่อถามต่อว่า เซเว่นกับแม็คโครใช่ร้านค้าขนาดเล็กหรือไม่ รายละเอียดนี้สุดท้ายจะต้องมีการหายได้เป็นอีกรอบ แต่ในเบื้องต้น เซเว่น ถือเป็นร้านค้าขนาดเล็ก​ แต่แม็คโครถือเป็นห้างสรรพสินค้า พร้อมระบุว่า​ เหตุผลที่มีการระบุร้านค้าขนาดเล็ก​ เนื่องจากต้องการกระจายเงินให้ชุมชนมากที่สุด โดยร้านค้าจะไม่รวมห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีกและค้าส่งขนาดใหญ่ แต่รวมร้านประเภทร้านสะดวกซื้อ ทั้งแบบแสตนอโลนและตั้งอยู่ในสถานบริการน้ำมัน​