ผลงานภาพถ่าย “ปอแนใต้ปอเนาะ” เป็นผลงานภาพถ่ายที่จัดแสดงอยู่ในนิทรรศการภาพถ่าย “เป็นเช่นอื่น อยู่ภายใน” หรือ Otherwise Inside ของสมัคร์ กอเซ็ม นักมานุษยวิทยาที่สนใจประเด็นต่างๆ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยภาพถ่ายชุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานวิจัยภาคสนามทางมานุษยวิทยาเมื่อปี 2560 ที่พยายามทำความเข้าใจถึงความเป็นเควียร์ในสังคมมุสลิมสามจังหวัดชายแดนใต้ โดยเปิดให้เข้าชมฟรีที่ WTF Gallery & Cafe ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม - 16 สิงหาคม 2561
สมัคร์อธิบายว่าเขาเติบโตมาในโรงเรียนปอเนาะ หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามในกรุงเทพมหานคร และพบเจอประสบการณ์เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศในโรงเรียนปอเนาะเอง ประเด็นนี้จึงยังคงติดค้างอยู่ในใจของสมัคร์ เมื่อมาเรียนด้านมนุษยวิทยาก็ทำให้เขาอยากศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังอีกครั้ง สมัคร์จึงเลือกศึกษาความเป็นเควียร์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ เพราะเป็นสังคมมุสลิมชัดเจน และเป็นสังคมที่ไม่ค่อยเห็นคนที่เป็น LGBT ปรากฏตัวหรือมีตัวตนหรือเห็นได้ชัด
มุสลิมมีแบบเดียวเท่านั้นหรือ?
ตั้งแต่เด็กจนโต สมัคร์เห็นว่า สังคมมุสลิมจะสั่งสอนว่าต่อให้คนที่เป็นปอแน เกย์ กะเทยทำตามหลักศาสนา ศาสนาก็จะไม่ยอมรับอยู่ดี การเป็น LGBTQ จึงถูกมองว่าจะทำให้พวกเขาเป็นศาสนิกที่ดีไม่ได้ แต่เขามีเพื่อนคนหนึ่งที่ “ออกสาว” และพยายามจะอยู่ในสังคมมุสลิมอย่างประนีประนอมกับเพศสภาพที่เหมือนเป็นขั้วตรงข้ามกับศาสนาอิสลาม ด้วยการแยกตัวตนที่แต่งหญิงไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงออกจากการเป็นคนเคร่งครัดในหลักปฏิบัติของศาสนาเมื่ออยู่บ้านหรือไปมัสยิด
ดังนั้น นิทรรศการภาพถ่ายชุดนี้จึงต้องการนำเสนอว่า ต่อให้คนเหล่านี้มีเพศสภาพที่ศาสนาไม่ยอมรับ แต่เขาก็ยังอยากจะเป็นมุสลิมคนหนึ่งได้เหมือนกัน สมัคร์จึงกลับมาตั้งคำถามว่า การเป็นศาสนิกต้องเป็นคนที่เคร่งครัดเท่านั้นหรือ เรามองมุสลิมในแบบเดียวเท่านั้นหรือเปล่า
“เล่นเพื่อน” ไม่ใช่ความหลากหลายทางเพศ?
สมัคร์อธิบายว่า ในขณะที่นักเรียนในโรงเรียนปอเนาะพูดจาล้อเล่นเพื่อนที่เป็นปอแน หรือมีความหลากหลายทางเพศว่าผิดปกติหรือเป็นคนบาป แต่ก็มีหลายคนที่กลับไประบายความใคร่กับคนที่มีความหลากหลายทางเพศเหล่านี้ ซึ่งสมัคร์ได้ยืมคำโบราณว่า “เล่นเพื่อน” มาอธิบายกิจกรรมทางเพศของเพื่อนเพศเดียวกัน ซึ่งบางครั้งก็กลายเป็นการคุกคามทางเพศ
สมัคร์อธิบายว่า ความหลากหลายทางเพศที่ฝังอยู่ในสังคมมุสลิมนี้ก็มีมานานแล้ว และไม่ได้มีเฉพาะในไทยเท่านั้น ประเทศมุสลิมในตะวันออกกลางก็มีการเล่นเพื่อน หรือการที่ชายมีอายุมีเพศสัมพันธ์กับเด็กผู้ชายเช่นเดียวกัน ไม่ใช่แนวคิดใหม่ที่ตะวันตกเป็นผู้นำเข้ามาอย่างที่หลายคนอ้าง แต่สังคมมุสลิมเองเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ พร้อมตอกย้ำว่า ไม่มีความหลากหลายทางเพศในสังคมมุสลิม
ส่วนหนึ่งที่เป็นเพราะ “ชายแท้” เหล่านั้นไม่ได้มองว่าการเล่นเพื่อนเป็นพฤติกรรมของเกย์ แต่เป็นเพียงความรู้สึกถึง “ความเป็นพี่น้องกัน” เท่านั้น การตีความศาสนาเช่นนี้จึงทำให้พวกเขาไม่รู้สึกผิดบาปต่อการระบายความใคร่ต่อเพื่อนเพศเดียวกันเท่ากับการไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน
ดังนั้น สมัคร์จึงถ่ายภาพเซ็ตหนึ่งที่เป็นขั้นตอนการละหมาด พร้อมข้อความภาษาอาหรับกำกับไว้ ซึ่งคนที่อ่านภาษาอาหรับไม่ออกอาจเข้าใจว่าเป็นคำสอนทางศาสนาอิสลาม เพราะภาษาอาหรับถูกยกให้เป็นภาษาต้นกำเนิดของศาสนาอิสลาม แต่จริงๆ แล้วภาษาอาหรับบนภาพเหล่านั้นเป็นคำอธิบายความหลากหลายทางเพศ เพื่อกระตุ้นให้ชาวมุสลิมหันมาทำความเข้าใจและพูดคุยถึงความหลากหลายทางเพศกันมากขึ้น
เพศสภาพ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง
สิ่งที่สำคัญในการศึกษาเรื่องนี้ของสมัคร์ก็คือเวลา เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาคุย และ LGBTQ แต่ละคนก็มีระดับในการอธิบายตัวตนของตัวเองในสังคมมุสลิมที่แตกต่างกันออกไป เช่น บางคนที่อายุน้อย เป็นนักศึกษาก็มีพื้นที่หรือช่วงเวลาให้แสดงออกถึงความหลากหลายทางเพศได้ แม้จะแสดงออกมาไม่ได้ทั้งหมด หลายคนจึงออกนอกพื้นที่ เพื่อไปแสวงหาวัฒนธรรมร่วมของ LGBTQ ในพื้นที่อื่นๆ อย่างหาดใหญ่หรือกรุงเทพมหานคร
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิตที่พวกเขาต้องกลับไปอยู่ในสังคมมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนใต้อีกครั้ง พวกเขาก็จะถูกตั้งคำถามเรื่องตัวตน และหลายคนก็หันกลับมาอยู่ในกรอบของศาสนาและวัฒนธรรมเดิม เช่นการแต่งงานและสร้างครอบครัว ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายกรณีที่ถูกสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นกดดันอย่างหนักหน่วงจนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตนหรือตำแหน่งแห่งที่ในสังคม พวกเขาจึงต้องออกจากพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ไปอย่างถาวร รวมถึงการเลิกนับถือศาสนาอิสลาม เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความผิดบาปของศาสนา
“หนูก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งค่ะ”
โมนา หนึ่งในนายแบบของภาพชุดนี้ถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของคนที่พยายามจะเป็นตัวเองโดยที่ยังอยู่ในกรอบศาสนา โมนากล่าวว่า คำว่า “ปอแน” เป็นภาษามลายูเป็นแปลว่า กะเทย มีกิริยาท่าทางเป็นผู้หญิง แต่งกายเป็นผู้หญิง ใช้ชีวิตประจำวันเป็นผู้หญิง ถือเป็นคำที่รุนแรงมากสำหรับคนมุสลิม เพราะเป็นคำที่บ่งบอกถึงการเป็นเพศที่สาม แยกจากชายหญิง แต่ตัวเขาเองมองว่าตัวเองไม่ได้เป็นปอแน
โมนากล่าวว่า แม้การเป็นแบบนี้จะทำให้เขาหนักใจอยู่บ้าง เพราะถูกสังคมตีตราว่าเป็นเรื่องผิดบาป แต่เขามองว่า ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวเขาว่าเขาเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่อาจเรียบร้อยกว่าผู้ชายคนอื่นเท่านั้น ตัวเขาเองก็ศึกษาศาสนามาอย่างดี ปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด รูปที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงก็แต่งเพื่อการแสดงเท่านั้น
อุปสรรคจาก “บูคู” สู่ “ปอแนใต้ปอเนาะ”
เมื่อปีที่แล้วที่มีสารคดีเกี่ยวกับทีมฟุตบอลบูคู ทีมฟุตบอลเพื่อความเท่าเทียมทางเพศ ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าความหลากหลายทางเพศในทีมฟุตบอลชุดนี้ถือเป็นความไม่เหมาะสม ขัดกับหลักศาสนาและวัฒนธรรมในพื้นที่ เหตุการณ์นั้นทำให้สมัคร์ต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานหรือวิธีการที่จะอยู่ที่นั่น จากเดิมที่คิดว่าจะลงไปทำวิจัยแบบสัมภาษณ์อย่างจริงจัง ก็ต้องหันไปทำวิจัยอื่นๆ อยู่พักนึง แล้วค่อยวางแผนเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ เพื่อให้คนในพื้นที่ได้รู้จักเขามากขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาค่อยๆ ทำความรู้จัก LGBT ในพื้นที่ และประเมินว่าการทำวิจัยในพื้นที่มีข้อจำกัดอะไร
สมัคร์กล่าวว่า ตอนแรกที่เขาตั้งใจจะศึกษาเรื่องเควียร์ในสังคมมุสลิม คนที่เป็นเควียร์และเป็นมุสลิมเองก็ยังตั้งคำถามกับเขาว่าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างถ่องแท้หรือไม่ อย่างก่อนหน้านี้ที่มีการเปิดประเด็นเรื่องทีมฟุตบอลบูคู ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการนำคนนอกเข้าไปมองเรื่องของคนในพื้นที่ แต่เขามองว่าความหลากหลายทางเพศในสังคมสามจังหวัดชายแดนใต้เป็นเรื่องที่ยังต้องศึกษาต่อไปเรื่อยๆ และเขาไม่ได้มองว่าการศึกษาเรื่องนี้ไม่สามารถตอบได้ว่าคนนอกหรือคนในจะอธิบายเรื่องนี้ได้มากกว่ากัน