ไม่พบผลการค้นหา
'แจ็ค หม่า' ให้คำมั่นลงทุนไทยระยะยาว เน้นช่วยเอสเอ็มอี เกษตรกร คนรุ่นใหม่เผยไม่ต้องการนโยบายที่เอื้อประโยชน์ สร้างอภิสิทธิ์ทางธุรกิจ แต่ต้องการความมุ่งมั่นเอาจริงของรัฐบาลไทย เพื่อร่วมกันเปลี่ยนแปลงโลกและแสวงหาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ด้าน 'รองนายกฯ สมคิด' ชี้ อาลีบาบามาถูกเวลาถูกจังหวะ

นายแจ็ค หม่า ประธานกรรมการบริหาร และผู้ก่อตั้งอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวในระหว่างเข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจกับหน่วยงานไทย ว่า ความร่วมกับประเทศไทยครั้งนี้ เป็นผลจากการหารือกันระหว่างทีมงานของอาลีบาบากับทีมงานประเทศไทยมานานเกือบ 1ปี ที่ผ่านมา ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือ เอสเอ็มอี เกษตรกร และ คนรุ่นใหม่ ให้สามารถทำธุรกิจและค้าขายได้

โดยความร่วมมือนี้ไม่ใช่เพียงแค่ด้านธุรกิจและไม่ใช่เพียงการซื้อขายเท่านั้น แต่เป็นการสร้างความร่วมมือเพื่อแสวงหารูปแบบธุรกิจใหม่ๆ เป็นโมเดลใหม่ๆ ที่ช่วยให้ประชาชนหรือลูกค้าได้ประโยชน์สูงสุด เพราะหากจะทำเพียงแล้วธุรกิจ ทีมงานอาลีบาบากับประเทศไทยก็ไม่ต้องคุยกันนานร่วม 8 เดือน แต่การทำเช่นนี้ เพื่อบอกว่า เราต้องการลงทุนระยะยาว และเชื่อมั่นต่อศักยภาพประเทศไทย


"สิ่งที่ผมเชื่อ คือตอนนี้เป็นช่วงเวลาของ วิน วิน วิน ที่มาจาก ดับเบิลยู (W) 3 ตัว ตัวแรก คือ ประชาชน หรือ ลูกค้า ตัวที่สอง คือ พันธมิตร และตัวที่สามคือ อาลีบาบา นี่เป็นปรัชญาธุรกิจที่ควรมี ส่วนการทำงานในประเทศไทย มีภารกิจคือการช่วยคนรุ่นใหม่ ธุรกิจขนาดเล็ก และเกษตรกร รวมถึงผู้หญิง คนเหล่านี้คือกลุ่มที่เราโฟกัสและจะสนับสนุนพวกเขา" นายหม่า กล่าว


นอกจากนี้ ผู้ก่อตั้งอาลีบาบายังกล่าวด้วยว่า เอเชียมีคนหนุ่มสาวที่มีการศึกษาดีจำนวนมากมายและพวกเขามีศักยภาพ การทำงานร่วมกันของอาลีบาบากับประเทศไทยครั้งนี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลง และอาลีบาบาไม่ได้ต้องการมีอภิสิทธิ์เหนือใคร ไม่ต้องการนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้ แต่ต้องการความมุ่งมั่นจากรัฐบาลไทย ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงนี้ร่วมกัน


"สิ่งที่เราสนใจวันนี้ คือการเปลี่ยนแปลงโลก มากกว่าการทำเงิน แม้ว่าเงินจะนำไปสร้างสิ่งต่างๆ ได้ก็ตาม แต่การเข้ามาอาลีบาบา ในประเทศไทยในระยะแรกนี้ เรามาเพราะเรารักประเทศไทย เราเชื่อมั่นในประเทศไทย รวมถึงสิ่งที่รัฐบาลไทยทำ" นายหม่ากล่าว



แจ็ค หม่า


เราติดตามการดำเนินนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เราตื่นเต้นมากกับนโยบายเรื่องอีอีซี และแผนการสร้างดิจิทัล ฮับ ดังนั้นเราจึงให้คำมั่นสัญญากับประเทศไทยในระยะยาว เพราะเรามีอีกหลายอย่างที่จะทำร่วมกันในระยะยาว ดังนั้นเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ช่วงเวลาที่มีคำมั่นสัญญาต่อกันต่างหากคือเรื่องใหญ่" นายหม่า กล่าว



'อาลีบาบา' มาถูกจังหวะ ช่วยดันเศรษฐกิจไทยโตในยุคดิจิทัล

ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเดินทางมาของนายแจ็ค หม่า เป็นการแสดงคำมั่นสัญญาที่มีต่อประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในฐานะนักธุรกิจระดับโลก และสะท้อนว่าการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา เดินมาถูกทาง จาก 2 ปัจจัย ได้แก่ หนึ่ง ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นจะเปลี่ยนผ่านโครงสร้างเศรษบกิจไปสู่ยุค 4.0 เพื่อยกสมรรถนะและยกชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งไม่ใช่เป็นการเติบโตแบบเส้นตรง แต่จะเป็นการเติบโตแบบทวีคูณ 

สอง ต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังไม่ใช่ประเทศรายได้ปานกลาง และเรายังเป็นประเทศที่มีประชาชนมีรายได้ต่ำ ดังนั้น จึงต้องทำให้เกิดการยกระดับรายได้ และคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อสร้างอนาคตให้คนรุ่นใหม่ในโลกดิจิทัล เราต้องการความรู้ความชำนาญของอาลีบาบาที่ทำในประเทศจีน มาเป็นช่วยสนับสนุน อย่างโครงการหนึ่งที่อาลีบาบาทำร่วมกับรัฐบาลจีน ด้วยการฝึกอบรมชาวบ้านให้สามารถขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ต สิ่งเหล่านี้ประเทศไทยต้องการ


"เราต้องการการสนับสนุนจากเขา เพราะประเทศเรามีสินค้าเกษตรที่ล้นตลาด ดังนั้น การได้เป็นพันธมิตรกับอาลีบาบาจึงนำมาสู่การเปลี่ยนแปลง และเท่าที่ทราบคือ เพียง 2 วันก่อนหน้านี้ อาลีบาบาได้สั่งซื้อทุเรียนไทยมากกว่า 6 หมื่นรายการในเวลาเพียง 2 วัน" นายสมคิด กล่าว

รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจยังกล่าวด้วยว่า การมาเยือนของประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งอาลีบาบา กรุ๊ปในครั้งนี้ ยังมาถูกเวลา นั่นคือ มาถูกเวลาในช่วงเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว การปฏิรูปทุกอย่างเป็นไปตามแผน มาถูกเวลาในช่วงที่ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงยกระดับธุรกิจเอสเอ็มอี เพื่อทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้มีชีวิตที่ดีขึ้น และมาถูกเวลา ในช่วยที่การท่องเที่ยวของไทยบูม และเรากำลังจะทำแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยวร่วมกัน 


แจ็ค หม่า


"เราเลือกเขาแบบ right partner (พันธมิตรที่ใช่) แต่ไม่ใช่เพราะอาลีบาบาใหญ่ แต่เราเลือกเขา เพราะเขาเป็นผู้มีจิตใจคิดถึงสังคม ทำธุรกิจเพื่อส่วนร่วม และไม่ได้หวังกำไรสูงสุด แต่มีความมุ่งมั่นจะแก้ปัญหาความยากจน ต้องการเปลี่ยนแปลงโลก และเราจะแก้ปัญหาเหล่านี้ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่อนาคตร่วมกัน" นายสมคิด กล่าว


ทำข้อตกลง พัฒนาคนดิจิทัล อย่างน้อย 3 หมื่นคน / ปี

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ สำนักงานอีอีซี กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ อาลีบาบา กรุ๊ป ในครั้งนี้ มีของสำนักงานอีอีซี 2 ฉบับ เป็นความสำเร็จของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเจรจาจนได้บรรลุเป็นข้อตกลงความร่วมมือที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มคนหลากหลายในประเทศไทย ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการไทยขนาดกลางและขนาดเล็ก ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซในประเทศ และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่จะนำสินค้าสู่ตลาดโลก

การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานอีอีซี และ อาลีบาบา กรุ๊ป มีทั้งสิ้น 2 ฉบับ ซึ่งมีขอบเขตความร่วมมือ ดังนี้

1) ความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ระหว่างสำนักงานอีอีซี และ Alibaba.com Singapore E-commerce Private Limited โดยบันทึกความเข้าใจฉบับนี้เป็นกรอบรวมความร่วมมือ ครอบคลุมถึงการส่งออกสินค้าด้านการเกษตร และสินค้าไทยอื่นๆ เข้าสู่ตลาดโลก โดยอาศัยแพลตฟอร์มของอาลีบาบา การพัฒนาความรู้ความสามารถของผู้ประกอบการไทยด้านอีคอมเมิร์ซ และการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวชุมชนและเมืองรอง 

ทั้งนี้ อาลีบาบา ได้แสดงเจตจำนงในการลงทุน Smart Digital Hub ใน EEC ในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ด้วย

2) ความร่วมมือด้านการลงทุน Smart Digital Hub ในพื้นที่อีอีซี ระหว่างสำนักงานอีอีซี กรมศุลกากร และบริษัท Cainiao Smart Logistic Network Hong Kong Limited อาลีบาบา กรุ๊ป โดยบริษัท Cainiao จะลงทุนประมาณ 11,000 ล้านบาท ในการพัฒนาศูนย์ดิจิทัลอัจฉริยะ (Smart Digital Hub) เริ่มต้นในปีนี้ และร่วมมือกัน พัฒนาความรู้ทางด้านการจัดการสำหรับ E-commerce ระหว่างประเทศ ระบบโลจิสติกส์ พิธีการทางศุลกากร กรอบด้านกฎระเบียบศุลกากรที่ทาง อาลีบาบา และ Cainiao มีความเชี่ยวชาญ และร่วมวางระบบการทำงานที่เป็นสากลร่วมกับกรมศุลกากรของไทย เพื่อสนับสนุนอีคอมเมิร์ซเข้าสู่ตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามมาตรฐานโลก 

โดยการลงทุนใน Smart Digital Hub นี้จะทำให้เปิดโอกาสตามมาอย่างมหาศาลต่อประเทศไทย และมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการค้าในภูมิภาค CLMVT

นอกจากนี้ ทางอาลีบาบา กรุ๊ป ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับหน่วยงานอื่นอีก 2 ฉบับ ได้แก่ ความร่วมมือด้านการพัฒนาเอสเอ็มอี และบุคลากรด้านดิจิทัลระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และ Alibaba Business School เพื่อร่วมถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี ให้กับผู้ประกอบการชาวไทยในหลายภาคส่วน ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ได้วางแผนเอาไว้ 

ทางอาลีบาบาตั้งเป้าว่าจะทำการอบรมให้ได้อย่างน้อย 30,000 คนต่อปี ซึ่งจะทำให้คนไทยมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น ในยุคที่อีคอมเมิร์ซจะทวีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต 

นอกจากนั้น ได้มีการลงนามความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวผ่านดิจิทัลและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และบริษัท Zhejiang Fliggy Network Technology Company Limited หรือชื่อเดิม Alitrip เพื่อเป็นแพลตฟอร์มในการอำนวยความสะดวกในการจองห้องพัก จองตั๋วเดินทางและขายทัวร์ทั่วโลกของอาลีบาบา ซึ่งจะมีส่วนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวจากทั่วโลกสู่ประเทศไทย


แจ็ค หม่า

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์และอาลีบาบา ยังร่วมกันเปิดตัว 'Thai Rice Flagship Store' บนเวบไซต์ Tmall.com ซึ่งเป็นเวบซื้อขายออนไลน์ และจะช่วยผลักดันยอดขายผลิตผลทางการเกษตร โดยเริ่มต้นจากข้าว และจะขยายไปถึงผลไม้ต่างๆ โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้ที่เป็นที่นิยมของชาวจีน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :