ไม่พบผลการค้นหา
ศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษากรณี 'วอยซ์ทีวี' ฟ้อง 'กสทช.' มีคำสั่งระงับการออกอากาศ 15 วัน ชี้เป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ กสทช. เพิกถอนคำสั่ง ตั้งแต่วันที่มีมติระงับออกอากาศ ย้ำการดำเนิินรายการของวอยซ์ทีวี ไม่ถึงขั้นส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่น จนทำให้เกิดความขัดแย้ง อีกทั้งผู้ออกคำสั่งไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความเสียหายที่ร้ายแรงได้แต่อย่างใด

วันที่ 27 ก.พ. 2562 ศาลปกครองกลางขึ้นนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา ที่ห้องพิจารณาคดี 8 ในคดีหมายเลขดำเลขที่ 258/2562 บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด (ผู้ฟ้องคดี) กับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในกรณีมีคำสั่งระงับการออกอากาศทั้งสถานีเป็นเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-27 ก.พ. 2562 นั้น ศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่ง กสทช. และให้มีผลนับแต่วันที่ผู้ถูกฟ้อง (กสทช.) มีมติระงับการออกอากาศ

เนื่องจากศาลพิจารณาแล้วว่า ผู้ดำเนินรายการ Wake Up News และ Tonight Thailand เสนอการวิเคราะห์จากการเรียบเรียงเนื้อหา และมีการวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ รวมถึงบุคคลสาธารณะ แม้จะมีการเพิ่มเติมจากแหล่งข่าวและมีการแสดงความเห็นสนับสนุนบางพรรคการเมือง แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความสับสนต่อสาธารณะ 

นอกจากนี้ การดำเนินรายการของผู้ฟ้องคดี (วอยซ์ทีวี) ไม่ถึงขั้นส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่น ทำให้เกิความขัดแย้ง อีกทั้งผู้ถูกฟ้อง (กสทช.) ไม่สามารถแสดงให้ศาลเห็นว่ามีความเสียหายร้ายแรงอย่างใด ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่หนึ่ง (กสทช.) มีคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตผู้ฟ้องคดี (บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด) จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนกรณีที่ กสทช. อ้างว่า วอยซ์ทีวีทำผิดซ้ำซากเป็นเหตุให้สั่งระงับการออกอากาศ ศาลเห็นว่าต้องให้โอกาสโต้แย้งคำสั่ง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีเชิญผู้ฟ้องคดีเข้าชี้แจง หนังสือดังกล่าวมิได้มีประเด็นให้ผู้ฟ้องชี้แจงเกี่ยวกับการทำผิดซ้ำแต่อย่างใด ศาลจึงเห็นว่าผู้ถูกฟ้อง (กสทช.) มิได้พิจารณากรณีการทำความผิดซ้ำมาแต่ต้น และไม่เปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องชี้แจง จึงไม่อาจกล่าวอ้างการทำผิดซ้ำซากเป็นเหตุให้ระงับการออกอากาศได้

อย่างไรก็ตาม ศาลได้แจ้งแก่คู่กรณีว่ามีระยะเวลาอุทธรณ์คือ 30 วันนับจากวันอ่านคำพิพากษา

ทั้งนี้ การพิจารณาคดีเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันนี้ โดยผู้บริหาร บริษัท วอยซ์ทีวี จำกัด นำโดยนายเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, นายประทีป คงสิบ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายข่าว, ผู้ดำเนินรายการข่าว และฝ่ายกฏหมาย เดินทางมายังศาลปกครอง ตามที่ศาลปกครองกลางนัดนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ในคดีหมายเลขดำ 258/2562 กรณีวอยซ์ ทีวี ฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จากกรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจาก กสทช. ออกคำสั่งระงับใบอนุญาตออกอากาศวอยซ์ทีวี ช่อง 21 เป็นเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-27 กุมภาพันธ์ 2562

โดยนายเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอยซ์ทีวี จำกัด ระบุว่า เราบริสุทธิ์ใจและทำอย่างเต็มที่ในฐานะของสื่อ 

สำหรับคดีนี้ ผู้บริหารของวอยซ์ทีวี เข้ายื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราว โดยทุเลาคำสั่งของ กสทช. เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ทำให้ วอยซ์ ทีวี ออกอากาศได้ตามปกติ

นับเป็นคดีแรกของศาลปกครองที่ใช้กระบวนการพิจารณาโดยเร่งด่วน

นายประวิตร บุญเทียม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด ในฐานะโฆษกศาลปกครอง เปิดเผยว่า คดีนี้อธิบดีศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วน ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 ข้อ 49/2 ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมตามระเบียบฯ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 นับเป็นคดีแรกที่ศาลปกครองได้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วนตามระเบียบดังกล่าว ที่กำหนดให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วนได้ หากมีกฎหมายกำหนดเวลาการพิจารณาพิพากษาหรือเหตุอื่นใดที่การดำเนินกระบวนพิจารณาตามขั้นตอนปกติอาจเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังหรืออาจเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่บริการสาธารณะ

โดยวันนี้ (27 ก.พ.) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนมติของ กสทช. ที่ให้พักใช้ใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ของบริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด เนื่องจากศาลฯ เห็นว่า การออกอากาศรายการที่เป็นเหตุให้ กสทช.มีมติดังกล่าว ผู้ดำเนินรายการได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายสาธารณะและบุคคลสาธารณะตามสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน แม้มีการแสดงความคิดเห็นสนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็ไม่ถึงขนาดเป็นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในลักษณะที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งหรือสร้างความแตกแยกในราชอาณาจักร รวมทั้งไม่ปรากฏว่า กสทช.ได้เสนอว่าการออกรายการดังกล่าวเกิดความเสียหายร้ายแรงอย่างไร


ข่าวที่เกี่ยวข้อง :