ไม่พบผลการค้นหา
หากให้ฉายา ‘รัฐมนตรี’ ส่งท้ายปี 2561 ดูเหมือน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม คือบัญชีต้นๆที่ต้องได้รับฉายา แม้ปีนี้ พล.อ.ประวิตร ไม่เจอมรสุมเท่าปีที่แล้ว แต่ก็มีเรื่องให้ต้องเจอในช่วง ‘ปี่กลองการเมือง’ เริ่มดังขึ้น หลังรัฐบาล-คสช.ประกาศชัดเลือกตั้ง 24 ก.พ.62 ซึ่งก็เหลือระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือน

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร ระบุแล้วว่าการหาเสียงหลัง ‘ปลดล็อกพรรคการเมือง’ ช่วงก่อนสัปดาห์สุดท้ายของ ธ.ค. 2561 จนถึงเลือกตั้งที่ได้ปักธง 24ก.พ.62 จะมีระยะเวลาราว 60 วันถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะยิ่งนานจะยุ่งได้ และยกกรณี ‘เลือกตั้ง 54’ สมัย ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ ก็ใช้ระยะเวลาเพียง 49 วัน

แต่การเคลื่อนไหวทางการเมืองของแต่ละขั้วและพรรคนั้น เกิดขึ้นก่อนมีการ ‘ปลดล็อกใหญ่’ แล้ว โดยอาศัยช่องในการเปิดรับสมาชิกพรรคลงพื้นที่ต่างๆ แต่สำหรับ พล.อ.ประวิตร ก็ตกเป็นข่าวไป ‘ดีล’ ทางการเมืองตั้งแต่กลางปี 2560

ท่ามกลาง ‘พลังดูด’ ที่ทำงานอย่างหนัก ทำให้ผู้มากบารมีอย่าง พล.อ.ประวิตร โดนอ้างชื่อไปเกี่ยวข้องกับ ‘พลังดูด’ ในพื้นที่ภาคอีสาน ผ่านมือ ‘บิ๊กทหาร ทภ.2’ ที่ไปเดินสายพบปะ ‘อดีตส.ส.-นักการเมือง’ ให้มาร่วมพรรคพลังประชารัฐ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ก็ประกาศชัดไม่เกี่ยวข้อง ไม่เคยสั่งให้ใครไปเสนอผลประโยชน์แลกเปลี่ยนใดๆ

“เขาไปดูดอย่างไร เขาดูดอย่างไร เขารู้จักกัน คุยกันไม่ได้หรือ” พล.อ.ประวิตร กล่าว

“โอ๊ย ไม่มีไปเสนออะไร ถ้าเสนอเป็นเรื่องของเขา เขารู้จักกัน เขาคุยกัน ไม่เกี่ยวกับผม” พล.อ.ประวิตร กล่าว

แถมยังมีออกมาแฉอีกว่า พล.อ.ประวิตร เปิดบ้านมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ใน ร.1 รอ. ถนนวิภาวดีฯ ให้พวก อดีตส.ส.อีสาน มาพบด้วย ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ก็ตอบเพียงสั้นๆ ว่า “บ้านผมไม่มี” ซึ่งก็ไม่ได้เป็นกระแสตีมากนัก

พลังประชารัฐ อุตตม A1751.JPG

ต่อมาช่วงเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ‘แกนนำพลังดูด’ ในพรรคพลังประชารัฐออกมาร้องว่ามี ‘เด็กบิ๊กป้อม’ ไปยุ่มย่ามในพรรคพลังประชารัฐ จนทำให้ พล.อ.ประวิตร จี้ถามสื่อว่าเป็นใคร ? ให้บอกชื่อมา ?

“ไม่จริง ใคร คนไหน ชื่ออะไร แต่เราสนิทกับทุกคนในกองทัพ คนอ้างชื่อ ไอ้โจ๊ก (พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล) ก็ถูกอ้าง ก็ไปจับมาแถลงข่าวแล้ว ก็เขาอ้างจะทำยังไงได้ จะไปเชื่อทำไม” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ผ่านมาไม่กี่สัปดาห์ ก็มีข่าว พล.อ.ประวิตร สายตรงไปถึง ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้พรรคประชาธิปัตย์มาร่วมทัพตั้งรัฐบาล โดยแลกกับเก้าอี้ ‘รมต.กระทรวงเกรดเอ’ เลยทีเดียว ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ได้ปฏิเสธ และเชื่อว่าหวังผล ‘ดิสเครดิต’ แต่ก็ยอมรับว่ารู้จักกับ ‘เฉลิมชัย’ เพราะ พล.อ.ประวิตร เคยเป็น รมว.กลาโหม สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์

“ไม่จริง และไม่ได้เจอกับนายเฉลิมชัยเลย ไม่ได้พูดอะไรกันเลย” พล.อ.ประวิตร กล่าว

“เขาจะดิสเครดิตผมหรือไม่ ยืนยันผมไม่ได้พูด และไม่ได้เจอหน้านายเฉลิมชัยเลย ที่ผ่านมาผมเคยเป็นรัฐบาลร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ 3 ปี ก็รู้จักกัน นายเฉลิมชัยตนก็รู้จัก แต่วันนี้ไม่มีเบอร์โทรกันแล้ว” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ในเวลานี้ชื่อ พล.อ.ประวิตร ถูกมองว่าจะเป็น ‘มือประสานสิบทิศ’ ในการฟอร์มตั้งรัฐบาลขึ้น หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็น นายกฯ อีกครั้ง เพราะ พล.อ.ประวิตร ถูกยกเป็น ‘มือดีล’ ด้วยคอนเน็กชั่นที่มีทั่วทิศ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ก็ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้ไปประสานใครเลย

แต่ที่ต้องจับตา คือ พรรคประชาธิปัตย์ ที่สุดท้ายแล้วจะร่วมเป็นองคาพยพกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ หากดู ‘สัญญาณ’ จาก พล.อ.ประวิตร ก็น่าสนใจไม่น้อยที่ ‘พรรคสีฟ้า’ อาจมาร่วมทัพ ‘พรรคสีเขียว’ ด้วยโอกาสที่จะไปร่วมกับพรรคเพื่อไทยก็เป็นไปได้ยากมาก

อีกทั้งสายสัมพันธ์ในอดีตระหว่าง ‘ประชาธิปัตย์ – กองทัพ’ ด้วย ถึงแม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศจุดยืนไม่ขอร่วมเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะด้วยนโยบายของพรรคสองแตกต่างกัน

อภิสิทธิ์

“เขายังไม่ได้บอกว่าไม่ร่วมเลย เขาบอกว่ายังไม่ถึงเวลาพูด เขาเป็นพรรคใหญ่ ก็มีสิทธิ์จะพูด ผมไม่เคยไปเจอใคร เพียงแต่ฟังอย่างเดียว และหากจำเป็นต้องคุย จะไปเจอเฉลิมชัยทำไม ผมไปเจออภิสิทธิ์ไม่ดีกว่าหรือ เพราะเขาเป็นหัวหน้าพรรค แล้วนายเฉลิมชัยทำอะไรได้ แต่ยืนยันขณะนี้ยังไม่ได้คุย” พล.อ.ประวิตร กล่าว

สำหรับอนาคตทางการเมืองของ พล.อ.ประวิตร ที่ยังไม่ชัดเจน ก็เป็นจุดที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าจะไปอยู่ตำแหน่งใดในอนาคต เว้นแต่ไม่ลงการเมืองแล้ว และไปอยู่ช่วย พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ ‘เบื้องหลัง’ แทน แต่ก็มีความเชื่อว่า ‘บารมี’ จะเบ่งบานได้ ก็ต้องมีตำแหน่งแห่งที่รองรับ

ส่วนหลังเลือกตั้ง หากมีคนมาขอคุย จะพร้อมคุยหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ระบุว่า “เขาคงไม่คุยแล้ว เพราะผมไม่อยู่ในตำแหน่งแล้ว ตอนนี้เขายังไม่คุย แล้วเขาจะคุยหลังเลือกตั้งหรือ มองไม่เห็นภาพเลย”

โดย 4 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ถือเป็น ‘รัฐมนตรีเก้าอี้เหนียว’ รองนายกฯฝายความมั่นคงและรมว.กลาโหม ที่คุมกองทัพและตำรวจ เพราะ พล.อ.ประวิตร นั่งประธานก.ตร.ด้วย แสดงถึงความไว้ใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีให้ ‘พี่ชาย’ คนนี้

ซึ่งที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ไม่เคย ‘ปิดประตูตัวเอง’ ว่าจะไม่รับตำแหน่งใดๆในอนาคต

แม้จะย้ำเสมอว่าไม่อยากเล่นการเมือง แต่บอกว่าอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเรียกใช้งานอีกหรือไม่ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร เคยยกกรณีการ ‘เชิญร่วมงาน’ สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ขึ้นมา โดยในช่วงนั้น พล.อ.ประวิตร นั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม ครั้งแรกยาว 2 ปี 8 เดือน และบวกกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไปอีก 4 ปี 4 เดือน เท่ากับว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร เป็น รมว.กลาโหม มากว่า 7 ปี

“ยังไม่รู้ เพราะไม่ใช่เรื่องของผม เพราะผมอยู่เฉยๆ เหมือนสมัยเป็น รมว.กลาโหม รัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่ง นายสุเทพ รองนายกฯในขณะนั้น ก็มาเชิญผมไปทำงาน ผมก็ทำงานอย่างเดียว” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ล่าสุด พล.อ.ประวิตร ได้แง้มอนาคตทางการเมือง หลังเลือกตั้งเพิ่มว่า “ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นนายกฯ และเขาจะมาขอให้ผมทำงานหรือไม่ หากมีก็ต้องดูว่าจะให้ผมช่วยอะไร เป็นสิ่งที่ผมทำได้หรือไม่ คงต้องรอให้เขามาเชิญก่อน”

ประยุทธ์-ประวิตร

หาก พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงเป็น นายกฯ ต่อนั้น พล.อ.ประวิตร ก็กล่าวไม่ปิดประตูและไม่ชัดเจนว่า “ยังไม่รู้ ถ้าไม่ได้ ต่อให้นายกเป็นคนหน้าเดิม ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเชิญหรือไม่”

แน่นอนว่าหาก พล.อ.ประวิตร รีบเปิดไพ่ทางการเมืองหมด ก็จะเป็นช่องให้ถูกโจมตีได้ และจะเป็น ‘เชื้อไฟ’ ที่จุดติดง่ายลามไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ และเครือข่ายทางการเมือง โดยเฉพาะพรรคหลังประชารัฐด้วย

อีกทั้งกระทบไปถึง ‘เรตติ้ง’ ต่อการเลือกตั้ง และ ‘กองหนุน’ ที่พร้อมดันอยู่ภายนอก เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ก็ถูกมองว่าเป็น ‘จุดอ่อน’ ของรัฐบาล ซึ่งเคยตัดพ้อด้วยตนเอง

“ผมทำงานอยู่ทุกวัน แต่กลับถูกบิดเบือนทุกเรื่อง และถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวถ่วง ในการทำงานของรัฐบาล” พล.อ.ประวิตร กล่าว

แต่อีกมุม พล.อ.ประวิตร ก็ถือเป็น ‘ผู้ใหญ่ – พี่ใหญ่’ ในคสช. ที่กรำศึกการเมืองกับ พล.อ.ประยุทธ์ 4 ปีกว่าที่ผ่านมา และคุมกองทัพ ไม่ให้แตกแถว

แม้ที่ผ่านมาการจัดโผทหารทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ จะงัดข้อ-ต่อรองกันบ้าง

แต่ก็ลงตัวมาตลอด และ พล.อ.ประวิตร ก็คุมสถานการณ์บ้านเมืองมาได้ แม้จะมีคำสั่งคสช.ต่างๆใช้บล็อกไว้อีกชั้น แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ได้รับมอบหมาย ‘งานใหญ่’ อยู่เสมอ ทั้งการพูดคุยปรองดองกับพรรคและกลุ่มการเมืองจนเป็นที่มา ‘สัญญาประชาคม’

รวมทั้งการเปิดวงคุยพรรคการเมืองครั้งแรก เพื่อทำการ ‘คลายล็อกพรรคการเมือง’ ทำให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินการธุรการพรรคได้ ไม่นับรวมการลงพื้นที่ ‘แจกโฉนด คืนความสุข’ แก้ปัญหาหนี้นอกระบบทั่วประเทศ ที่ได้คะแนนจาก ‘ลูกหนี้นอกระบบ’ นับแสนรายทั่วประเทศด้วย

นี่แหละ ‘มือดีล’ แห่งยุค !!

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปริศนา ลายพราง
164Article
0Video
39Blog