การดูดวงไม่ใช่เรื่องเสียเงินเล่นๆ เพราะหลายคนตัดสินใจจริงๆ จากข้อมูลที่ได้รับจากหมอดู
ในขณะที่โหราศาสตร์และไสยศาสตร์ยังถูกขับเคลื่อนด้วยค่านิยมตามระบบสังคมชายเป็นใหญ่ หากใครเคยไปหาหมอดูแล้วรู้สึกเหมือนถูกสั่งสอนและตัดสินตีตรา อยากลองชวนมาฟังมุมมองและวิธีคิดของ ‘การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์’ หมอดูที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของเมืองไทยที่หลายคนอาจจะรู้จักเธอในนาม ‘การะเกต์พยากรณ์’
เธอเป็นผู้หญิงที่สนใจเรื่องของพลังงานและจิตวิญญาณ เชื่อว่าเราควรเอามันมาพูดได้อย่างเปิดเผย และอยู่กับมันได้แบบปกติธรรมดา ที่สำคัญเธอเชื่อว่า ไม่ว่าเพศไหนก็ควรมีสิทธิเข้าถึงและได้ประโยชน์จากศาสตร์เหล่านี้ได้อย่างเท่าเทียมกัน
ความคิดแบบชายเป็นใหญ่ส่งผลต่อการอ่านดวงของหมอดู แม้โหราศาสตร์ไม่(ควร)มีเพศ
“เหตุผลหนึ่งเลยที่พี่เข้ามาดูดวงเป็นเรื่องเป็นราว เพราะพี่รู้สึกว่าทัศนคติของหมอดูจำนวนมากไม่โอเคสำหรับพี่ พี่เคยไปลองดูดวงมาหลายที่ หมอดูสมัยก่อนจะมีทัศนคติแบบชายเป็นใหญ่ คุณมีกรรมคุณเป็นเมียน้อย คุณมีกรรมคุณทำแท้ง ไม่มีผู้ชายเอา ขายไม่ออก เขาตีเป็นเวรกรรมหมดเลย เวลาผู้หญิงมีปัญหาความสัมพันธ์ไปหาหมอดู หมอดูจำนวนมากเลยนะที่บอกว่า ก็คุณเป็นเมียที่ไม่เอาใจผัว ไม่เอาใจแฟน เขาก็เลยไปมีคนใหม่ กลายเป็นความผิดของผู้หญิงอีก แบบนี้ไม่ใช่การดูดวง แต่เป็นการเอาทัศนคติของตัวเองเข้าไปประกบกับหลักวิชา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
พี่มองว่า มันควรจะต้องมีคำตอบอื่น ทางเลือกอื่น และพี่อยากรู้ด้วยว่า ในโหราศาสตร์ทั้งหลาย มันพูดแบบนี้จริงๆ เลยเหรอว่า ดวงหญิงดวงชายต่างกัน แบ่งเพศออกมา เพราะมันปรากฏอยู่ในการดูดวงจำนวนมาก พี่พยายามศึกษาและเจอว่า มันไม่ได้มีแบบนี้หรอก มันอยู่ที่การตีความ มันอยู่ที่ทัศนคติ เวลาผู้ชายดูดวง ผู้ชายก็คิดแบบหนึ่ง เวลาผู้หญิงดูดวง ผู้หญิงก็คิดอีกแบบหนึ่ง และบางครั้งผู้หญิงเองก็อยู่ในโครงสร้างของระบบชายเป็นใหญ่ ทำให้รับแนวคิดเหล่านี้มา เกิดการบูลลี่กันเอง วิพากษ์วิจารณ์ และตัดสินกันเอง
เวลาพี่ดูดวง ไม่ว่าคุณจะรักเพศไหน เรามีคำตอบให้คุณได้ ไม่ใช่ว่าพอรักเพศเดียวกันแล้วคุณผิดนะ คุณมีกรรม คุณต้องไปแก้ปัญหาชีวิต แบบนี้ไม่ถูกต้อง เราจะต้องยอมรับสิทธิของเขาก่อน ยอมรับความรักทุกรูปแบบ ยอมรับความเป็นมนุษย์ทุกรูปแบบ โหราศาสตร์ควรจะตั้งต้นจากสิ่งที่มันเป็นกลาง หมายความว่า เราควรพูดไปตามหลักการให้ได้มากที่สุด ไม่ควรมีอคติบวกหรือลบใดๆ เวลาที่เราดูดวง ไม่ใช่ว่าคนๆ หนึ่งเดินเข้ามาปุ๊บ หมอดูมองและตัดสินไปแล้วว่า คนนี้ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ อันนี้ไม่ใช่หลักวิชา คิดเอาเองว่าคนนี้ผิวขาว มีออร่า เป็นคนรวยแน่นอน ชีวิตต้องสุขสบายดี ถ้าเขาจะมีเวรกรรมอะไรก็อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย คิดแบบนี้ไม่ใช่การดูดวง เพราะในชีวิตคนจริงๆ มันมีรายละเอียดมากกว่านั้น
หมอดูชุดเก่าหลายคนเขาก็อาจจะยังยึดติดกับ ‘หญิงซ้าย ชายขวา’ อะไรแบบนี้ หรือมีทัศนคติว่า เป็นเมียก็ต้องเป็นช้างเท้าหลัง ส่งเสริมบารมีผัว ถ้าผัวมียศมีตำแหน่งสูง คุณก็ต้องเป็นหลังบ้านที่ดี เวลาเดินก็อย่าไปเดินนำหน้าผัวนะ มันไม่สง่างาม มันไปลดเกียรติผัว อะไรแบบนี้ ถ้าเรามีความเข้าใจเรื่องความเท่าเทียม ถ้าเรามองเห็นความเหลื่อมล้ำ เราก็จะไม่ไปบอกเขาว่า ดวงคุณข่มดวงผัว หรือคุณอย่าไปเดินนำหน้าผัวนะ ผัวคุณจะไม่มีเกียรติจะไม่เป็นสิริมงคล การดูดวงของพี่จะไม่มีแบบนี้ เพราะสิริมงคลไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ ความเป็นสิริมงคลมันขึ้นอยู่กับสิ่งดีๆ ที่คนเราทำ ประพฤติดี ประพฤติชอบ คือสิริมงคล”
โหรหญิงในดินแดนชาย ไม่เกี่ยวกับใครเป็นใหญ่ มัน(ควร)อยู่ที่ความสามารถ
“พี่คิดว่ามุมมองชายเป็นใหญ่เป็นเรื่องที่สำคัญ ในยุคสมัยเดิม การเรียนโหราศาสตร์ใดๆ เป็นเรื่องของโอกาส ผู้ชายมีโอกาสไปบวช ได้เรียนหนังสือมากกว่าผู้หญิง มีสิทธิมีเสียงในสังคมมากกว่า ทำอะไรคนก็เชื่อถือกันไปครึ่งทางแล้ว เป็นพระไปดูดวง คนก็ไม่กล้าแย้งหรอก พูดอะไรคนก็เชื่อหมด พี่คิดว่าจริงๆ แล้ว เราไม่ควรเอาเรื่องเพศเข้ามาอยู่ในโหราศาสตร์ หรือแม้บางอย่างที่บอกว่า ผู้หญิงทำไม่ได้ จริงๆ ทำได้ หลายครั้งมันเป็นข้อห้ามหลักเกณฑ์ที่ถ้าถามกันให้ลึก ก็ตอบกันไม่ได้หรอก ว่าทำไมผู้หญิงถึงทำไม่ได้ หากทำไม่ได้เพราะว่าเป็นผู้หญิง แปลว่าการเป็นผู้หญิงมันต่ำกว่าถูกไหม ก็เลยทำไม่ได้ ผู้หญิงห้ามเข้า เพราะผู้หญิงคือสิ่งที่แย่และเลวร้ายในตัวมันเอง วิธีคิดแบบนี้พี่รับไม่ได้เลยนะ พี่รู้สึกว่า ไม่ เราต้องทำได้ อะไรที่พี่ทำได้พี่ก็ทำ ไม่ได้ลิมิตตัวเองว่าฉันทำไม่ได้เพราะมันเป็นพรมแดนของผู้ชาย
พี่ทำงานด้านไสยศาสตร์ด้วย ที่ผ่านมามันเป็นพื้นที่ของผู้ชาย พี่อาจจะโชคดีที่อยู่กับพ่อที่ค่อนข้างเปิดกว้าง พี่ก็ถามพ่อนะ มีอะไรบ้างที่ทำได้ระหว่างผู้หญิงผู้ชาย พ่อก็บอกว่าทำได้หมด เพียงแต่ว่าบางครั้งเราอยู่ในบางพื้นที่ ก็อาจจำเป็นที่จะต้องยอมรับเงื่อนไขบางอย่าง เพราะมันเป็นเรื่องของการอยู่กับส่วนรวม อย่างพี่อยู่ในทางเหนือล้านนา ก็ยังมีคนที่ให้ความสำคัญกับผู้ชายที่เคยบวชเรียนมา เพราะฉะนั้นในงานบางอย่าง ชุมชนเขาก็อาจจะยังไม่ยอมรับว่า ผู้หญิงก็เป็นผู้นำในศาสนพิธีได้ เหมือนแม่ชีมักจะไปเป็นคนรับใช้ของพระซะเป็นส่วนใหญ่ใช่ไหม ถึงแม้เราจะบอกว่าปฏิบัติธรรมเหมือนกัน แต่ถึงที่สุด คนก็มักรู้สึกว่ายังไงซะ พระก็ศักดิ์สิทธิ์กว่าแม่ชี ทั้งที่การปฏิบัติธรรมในแง่ของจิตวิญญาณและการเข้าถึง จริงๆ คุณบอกไม่ได้หรอก แม่ชีก็มีความลึกซึ้งได้ อาจจะปฏิบัติธรรมได้เท่าหรือมากกว่าพระ
เมื่อไหร่ก็ตามที่มันมีการตีตราเอาไว้ก่อน มันเป็นปัญหา พี่มองว่า ก็ให้มันเป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยความสามารถของเราและเขาดีกว่า”
‘ผัวรวย’ ทางเลือกหนึ่งในสังคมชายเป็นใหญ่ และวงเวียนการถูกกดทับ-ต่อรองอำนาจของผู้หญิงในไสยศาสตร์
“ไสยศาสตร์เป็นตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของผู้ชาย แต่ขณะเดียวกัน ผู้หญิงจำนวนมากก็เข้าไปสู่วังวนของไสยศาสตร์ด้วย อันนี้พี่วิเคราะห์ของพี่เองนะ ว่าเวลาที่ผู้หญิงรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะเป็นอำนาจในตัวเองได้เพียงพอ สิ่งที่ผู้หญิงรู้สึกว่าตัวเองมี ก็คือเนื้อตัวร่างกาย ความสวย ความเซ็กซี่ เมื่อบวกเข้ากับอะไรที่จะมาเสริมพลังตรงนี้ก็คือไสยศาสตร์ เครื่องราง ของขลัง สิ่งที่จะเอาเข้ามาทำให้ฉันเซ็กซี่มากขึ้น ทำให้ฉันสวยมากขึ้น นี่คือการใช้ไสยาศาสตร์ในทางอำนาจ ผู้หญิงก็ต้องการอำนาจเหล่านี้ ฉันต้องการให้หัวหน้าชายยอมรับฉัน ฉันอยากจะขึ้นสู่ตำแหน่งสูง เพราะแม้ฉันจะมีความสามารถเท่าผู้ชาย แต่ผู้ชายก็ได้ขึ้นมากกว่าฉัน ฉันก็เลยต้องหาของพวกนี้ไปสู้กับพวกผู้ชาย ความซับซ้อนคือ ไสยศาสตร์เองก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วยระบบชายเป็นใหญ่อีกชั้นหนึ่ง
ถ้าคนที่เขามาดูดวงกับพี่หรือมารับเครื่องรางของขลัง เราก็จะมีการพูดคุยกัน เช่น เขาต้องการส่งเสริมความเซ็กซี่ ก็โอเค พี่ก็จะบอกว่า มันอาจจะเสริมได้ระดับหนึ่งนะ พี่ไม่ได้มองว่าผิดด้วย เพราะผู้หญิงเรามีสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย การอยากเซ็กซี่ของผู้หญิงก็ไม่แปลก จะทำผ่านศัลยกรรม หรือการใช้โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ก็ทำได้หมดเช่นกัน เพียงแต่ว่าเราอาจจะมาคุยกันว่า เราทำไปเพื่ออะไร และมันเป็นทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวจริงหรือเปล่า
สมมติว่าเราอยากได้เครื่องรางไปเสริมเสน่ห์เพราะอยากได้สามีดีๆ สักคนหนึ่ง บางทีก็อาจจะต้องถามตัวเองว่า สามีดีๆ สักคนหนึ่งนั้นน่ะ เราต้องการเพื่ออะไรบ้าง สมมติว่าเราต้องการขอผัวรวย ฉันมีเธอแล้วฉันจบ มันก็ไม่แปลก ความอยากรวยก็ไม่ผิด เป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็อยากรวย แต่ทีนี้ถ้าเราคิดต่อว่า ความสุขที่มาจากความรวยคืออะไร หรือเราต้องการเอาความรวยไปทำอะไรบ้าง มันอาจจะทำให้เรามองเห็นเส้นทางอื่นหรือเครื่องมืออื่นๆ ด้วย โดยที่ไม่ต้องพึ่งเฉพาะเครื่องรางก็ได้
สมมติว่าเราไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้นในโลกเลย แต่เรามีเครื่องรางหนึ่งชิ้นแล้วเราจะได้ผัวรวย เราคิดว่า ถ้าเราได้ผัวรวย ชีวิตเราจะสุขสบายไปตลอด แปลว่าเราให้ค่ากับความร่ำรวย สถานะทางเศรษฐกิจ แต่มนุษย์อาจจะซับซ้อนกว่านั้น เราอาจจะได้ผัวรวยที่ทุบตีทำร้ายเรา เขาอาจจะเป็นคนที่เหยียดหยามความเป็นมนุษย์ของเราก็ได้ แล้วถึงจุดนั้น ความมั่งคั่งมั่นคงทางเศรษฐกิจมันตอบโจทย์ชีวิตเราจริงๆ หรือไม่ คนเรามีทั้งร่างกายและจิตใจ เรามีจิตวิญญาณ ถึงที่สุดแล้ว ความร่ำรวยที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องการ อาจจะไม่ใช่การมีเงินซื้อเครื่องเพชรเครื่องทองเท่านั้น จริงๆ คุณอาจจะอยากจะรวยเพราะอยากหลุดพ้นไปจากชีวิตที่จมปลักกับความลำบากยากจน พ่อแม่พี่น้องมีปัญหาก็ช่วยไม่ได้ ป่วยแต่ละครั้งก็ต้องไปแออัดยัดเยียดกันในโรงพยาบาลรัฐ จริงๆ คุณอาจจะต้องการความร่ำรวยเพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไปไหนมีรถขับไม่ต้องมานั่งเบียดกันในรถเมล์ เพราะฉะนั้นมันก็อาจจะมีเครื่องมืออื่นๆ อีกก็ได้ที่จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ต้องทำเครื่องรางเพื่อให้มีผัวรวยอย่างเดียว
ผัวรวยเป็นทางเลือกหนึ่งนะ แต่ไม่ใช่ทางเลือกทั้งหมด พี่มองว่า ถ้าเราจะใช้โหราศาสตร์และไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่เสริมชีวิตของปัจเจก มันอาจจะต้องให้เข้าใจตรงกันว่า เราจะใช้มันเพื่ออะไรบ้าง เช่น ถ้ามีปัญหากับเจ้านาย มันมียันต์บางตัวที่ช่วยให้พูดกันรู้เรื่องมากขึ้น แต่ว่าเบื้องหลังและเหตุปัจจัยที่มันทับซ้อนกันอยู่ในปัญหานั้น เจ้าตัวต้องเข้าใจด้วย”
ข้ามพรมแดนเพศ กระจายอำนาจผ่านโหราศาสตร์และไสยศาสตร์สู่ประชาชน
“ถึงที่สุดแล้ว ไสยศาสตร์จำนวนหนึ่งถูกใช้เพื่ออำนาจ โหราศาสตร์ก็เหมือนกัน สมัยก่อนมันต้องคนมีความรู้ถึงจะใช้โหราศาสตร์ได้ คนที่เป็นแม่ทัพนายกองทั้งหลาย การทำรัฐประหารต่างๆ เขาก็ใช้โหราศาสตร์ การเข้าถึงโหราศาตร์และไสยศาสตร์จึงเป็นอำนาจอย่างหนึ่ง
ตัวพี่มองว่า มันควรลงมาสู่ระดับคนทั่วไปได้ เราไม่ควรผูกขาดอำนาจเอาไว้ใช้เฉพาะคนชั้นปกครอง โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาใช้กับเรื่องที่สามารถกำหนดชีวิตของคนทั่วไป เช่น ทำรัฐประหารหนึ่งครั้ง คุณเข้าถึงฤกษ์ยามได้ว่าคุณจะทำได้สำเร็จ แต่ว่าการทำรัฐประหารส่งผลต่อชีวิตของผู้คนทั้งหมด ทำอย่างไรให้คนทั่วไปดูได้ว่า เฮ้ย! เขาใช้ฤกษ์แบบนี้นะ เจตจำนงในฤกษ์คืออะไร แล้วเราจะสามารถจัดการชีวิตตัวเอง สามารถเห็นเส้นทางของประเทศชาติบ้านเมืองไปด้วยกันด้วยการมองผ่านแว่นโหราศาสตร์เหมือนกันได้อย่างไร พี่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญนะ
เหมือนอย่างเมื่อก่อนเขามีดวงพิชัยสงคราม เมื่อก่อนถือกันว่าเป็นยันต์ดวงชั้นสูงที่เขาจะใช้สำหรับการออกรบออกศึก ใช้ในกลุ่มระดับบนๆ แต่พี่ก็เป็นคนหนึ่งที่ทำยันต์ดวงพิชัยเป็น และพี่ก็เปิดทำให้กับบุคคลทั่วไป บางคนเขาก็จะมีคำถาม เช่น เราเป็นคนธรรมดาทำยันต์ดวงพิชัยได้ไหม เพราะยันนี้เป็นของสูง พี่จะบอกว่าจริงๆ แล้ว ยันต์ดวงพิชัยและสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันไม่มีคำว่า ‘ชั้นชั้นสูง’ และ ‘คนธรรมดา’ ยันต์ดวงพิชัยก็ประกอบไปด้วยดวงชะตาของบุคคลนั้นๆ ล้อมกรอบด้วยอักขระคาถา และการผูกดวงต่างๆ เข้าไป เพราะฉะนั้นไม่ได้แปลว่า คุณจะต้องเป็นชนชั้นสูงเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ทำยันต์นี้ได้”
หมอดูที่มีชุดความคิดแบบเก่า ถ้าไม่เท่าทันและเข้าใจโลกก็อาจจะดูดวงไม่แม่น
“เอาเข้าจริงๆ ในแง่ของตัววิชาเอง ไม่ใช่ว่าดูดวงมานานแล้วคุณจะเก่งกว่า ชั่วโมงบินเป็นเรื่องของประสบการณ์ และประสบการณ์ที่ว่า มันอาจจะหมายถึงการเข้าใจชีวิต ทั้งชีวิตตัวเองและชีวิตคนอื่นด้วย
ถ้าเราเป็นหมอดูที่อยู่แต่กับตำรา เราเข้าใจโลกในตำรา โลกในทฤษฎี แต่ไม่เข้าใจชีวิตมนุษย์จริงๆ ไม่เข้าใจว่าสังคมเขาเปลี่ยนไปยังไง คุณยังใช้อินเทอร์เน็ตไม่เป็นเลย แล้วคุณจะไปอธิบายคนมาดูดวงอย่างไร สมมติเขามีปัญหาเรื่องบิตคอยน์ เขามาถามคุณ คุณตอบเขาไมได้หรอก เพราะคุณไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าโลกดิจิทัลมันเป็นยังไง เด็กจบใหม่ที่ศึกษาโหราศาสตร์ แม้อาจจะได้ครึ่งๆ กลางๆ ยังเรียนไม่จบหลักสูตร แต่เขาเข้าใจบริบทของสังคมสมัยใหม่ เมื่อมีคำถามจากคนรุ่นใหม่ เขาอาจจะสามารถตอบคำถามได้คมคายและลึกซึ้งมากกว่าคนที่เรียนจบมาแล้วยี่สิบปีก็ได้
ดังนั้นเป็นหมอดูต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะตัวโหราศาสตร์เองมีความลึกซึ้งซับซ้อนมาก ที่สำคัญมันไม่ตายตัว เหมือนดวงดาวที่ใช้ดูดวงกันอยู่มี 7-8 ดวง มันดูได้ 360 องศา อยู่ที่ว่าเราจะดึงประเด็นแง่มุมแบบไหนออกมาแล้วมันสอดรับกับชีวิตคนไหม สมมติคนสองคนมีดวงจันทร์อยู่ในราศีกรกฎเหมือนกัน ภาษาโหรบอกว่า เป็นเกษตรอยู่ในบ้านตัวเอง คนหนึ่งรับราชการเป็นอธิบดี แต่อีกคนเป็นคนงานรับจ้างรายวันอยู่ในสวน มีคู่ชีวิตเป็นแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ต่อให้ทั้งสองคนมีคำถามเรื่องเดียวกัน รายละเอียดของคำตอบมันก็จะแตกต่างกัน ถ้าหมอดูยกตำราอย่างเดียวขึ้นมาตอบ ยังไงมันก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ เพราะเวลาอ่านชีวิตคนมันต้องอ่านทั้งพื้นดวง แล้วก็ต้องอ่านวงจร สถานการณ์ สิ่งที่มันประกอบสร้างทั้งหมดขึ้นมาเป็นบริบทดวงของคนนั้นๆ แล้วมันก็ซับซ้อนอีก เช่น คุณมีพื้นดวงคล้ายกัน ทำงานเดียวกัน แต่อยู่กันคนละประเทศ อยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลที่ต่างกัน ชีวิตของคุณก็ไม่เหมือนกัน ทั้งหมดนี้มันไม่สามารถแยกขาดออกจากกันได้
โหราศาสตร์ไม่ใช่วิชาที่เรียนจบกันง่ายๆ เพราะมันเคลื่อนที่ไปตามชีวิตผู้คน โหราศาสตร์เป็นวิชาของกาลเวลา มันพูดถึงไทม์ไลน์ มันพูดถึงชีวิตคน ชีวิตคนเมื่อร้อยปีก่อนกับชีวิตคนปัจจุบันก็ไม่เหมือนกัน สังคมไม่เหมือนกัน โรคระบาดสมัยก่อนกับโรคระบาดสมัยนี้ก็ไม่เหมือนกัน ปัจจัยมันแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าเราเรียนโหราศาสตร์จากตำราสมัยก่อน โดยมองข้ามบริบทใหม่ทั้งหมดเลย เราเอาความรู้ชุดเดิมไปตอบคำถามคนยุคปัจจุบัน คุณก็อาจจะดูดวงไม่แม่นเลยก็ได้นะ”