วันนี้ (28 มิถุนายน 2568) พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางมาเป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร ณ ห้องเฟื้องฟ้า สวนนงนุช อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี รองประธานคณะกรรมาธิการ, กรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายพิชัย นิลทองคำ, นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี, นายจุลพงศ์ อยู่เกษ, นายกฤดิทัช แสงธนโยธิน, นายพรภัทร์ ตันติกุลานันท์, นายเอกชัย ไชยนุวัติ, นายโกศล ปัทมะ ฯลฯ เป็นต้น โดยมี นายรวิศ สอดส่อง หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นางสาวนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมด้วย ทั้งนี้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังได้กล่าวทักทายกับประชาชน ก่อนเริ่มการประชุมฯ ด้วย
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า การประชุมในวันนี้ เป็นขั้นตอนสำคัญในการผลักดันการปฏิรูปกฎหมายด้านล้มละลายของประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจและความเปลี่ยนแปลงในสังคมอย่างแท้จริง ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงและมีความซับซ้อน ตัวเลขล่าสุดสะท้อนว่าหนี้ของภาคประชาชนรวมแล้วเกือบ 20 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่า GDP ของประเทศ ปัญหานี้ไม่ได้สะท้อนเพียงภาระทางเศรษฐกิจ แต่ยังเกี่ยวพันถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน ความมั่นคงของครอบครัว และศักยภาพในการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโดยรวม
“การแก้ไขสถานการณ์นี้จำเป็นต้องมีกฎหมายที่เท่าทันความเป็นจริง ยืดหยุ่น และเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และบุคคลธรรมดาที่สุจริต มีรายได้ประจำ และมีความตั้งใจแก้ไขหนี้ของตนเอง ร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาฉบับนี้ จึงได้ปรับปรุงกลไกการฟื้นฟูกิจการให้ครอบคลุมทุกระดับ ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ธุรกิจขนาดย่อม และลูกหนี้บุคคลธรรมดา โดยมีการแก้ไขสาระสำคัญหลายประการ เช่น
(1) การปรับเกณฑ์มูลค่าหนี้ขั้นต่ำให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ
(2) การจัดทำหมวดใหม่สำหรับ SME ที่ไม่จำกัดเฉพาะผู้ขึ้นทะเบียน
(3) การจัดทำหมวดสำหรับบุคคลธรรมดาที่มีหนี้ตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไป เพื่อให้สามารถฟื้นตัวโดยไม่ต้องถูกพิพากษาให้ล้มละลาย
นอกจากนี้ ยังมีการนำกลไก Automatic Stay หรือการพักชำระหนี้โดยอัตโนมัติ มาใช้ทันทีที่ศาลรับคำร้องขอฟื้นฟู เพื่อหยุดกระบวนการบังคับคดี และให้ลูกหนี้มีโอกาสหาทางออกอย่างเป็นธรรม โดยไม่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันเกินควรจากเจ้าหนี้หรือกระบวนการยึดทรัพย์” - พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุ
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า “จุดเด่นของร่างฯ นี้คือ การเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สามารถเจรจากับเจ้าหนี้โดยไม่ต้องจัดประชุมเต็มรูปแบบ หากสามารถบรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ได้ ก็สามารถเดินหน้าจัดทำแผนฟื้นฟูได้ทันที ซึ่งช่วยลดขั้นตอน ลดต้นทุน และลดความล่าช้าทางกระบวนการ ที่สำคัญ ร่างฯ นี้ยังให้ความคุ้มครองแก่ผู้ค้ำประกัน ไม่ให้ต้องรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วม แต่ให้รับผิดเฉพาะตามแผนฟื้นฟูเท่านั้น อันเป็นการป้องกันผลกระทบที่อาจลุกลามไปถึงครอบครัวและผู้เกี่ยวข้องโดยไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวทีที่นครราชสีมาเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ได้มีข้อเสนออย่างตรงไปตรงมาจากประชาชนว่า ควรมีมาตรการพักหนี้ ควรยกเว้นการนำเงินต้นมาคิดเป็นดอกเบี้ย และควรสร้างระบบที่ให้ความรู้แก่ลูกหนี้และผู้ค้ำประกันเกี่ยวกับขั้นตอนในกระบวนการศาล เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและถูกเอาเปรียบ ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ร่างกฎหมายต้องไม่เป็นเพียงกฎหมายทางเทคนิค แต่ต้องเป็นเครื่องมือของความยุติธรรม ที่เข้าถึงได้จริง และ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนระดับรากหญ้า ที่ยังขาดการปกป้องจากระบบกฎหมายในปัจจุบัน”
ทั้งนี้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า ร่างพระราชบัญญัตินี้ยังตั้งอยู่บนหลัก “ความเป็นธรรมทางสัญญา” โดยเฉพาะในกรณีที่ลูกหนี้รายย่อย ซึ่งมีอำนาจต่อรองต่ำ ต้องตกลงในเงื่อนไขกับเจ้าหนี้ที่มีความได้เปรียบอย่างชัดเจน อันอาจนำไปสู่สัญญาที่ไม่สมดุลและกดขี่ต่อสิทธิของลูกหนี้ หลักการนี้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ที่บัญญัติชัดเจนว่า ข้อสัญญาที่ก่อให้เกิดความไม่สมดุล หรือเป็นการเอารัดเอาเปรียบฝ่ายหนึ่งโดยไม่เป็นธรรม ถือเป็นข้อสัญญาที่อาจตกเป็นโมฆะหรือถูกแก้ไขได้ตามกฎหมาย การเปิดโอกาสให้ลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูโดยสมัครใจ ได้รับการคุ้มครองจากเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม และมีโอกาสเจรจาในฐานะคู่สัญญาที่เท่าเทียม เป็นการสร้างความเสมอภาคในเชิงโครงสร้าง และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากในระยะยาว หลักการของกฎหมายฉบับนี้จึงไม่ใช่การยกเว้นความรับผิด ไม่ใช่การส่งเสริมให้ “ไม่จ่ายหนี้” แต่คือการสร้างระบบที่ให้โอกาสแก่ผู้ที่สุจริต ได้กลับมาเริ่มต้นใหม่อย่างมีศักดิ์ศรี และเป็นกลไกสร้างความสมดุลระหว่างสิทธิของลูกหนี้และเจ้าหนี้อย่างแท้จริง
“กฎหมายที่ดี ต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ภาคธุรกิจ ภาควิชาการ และภาคประชาชน เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นเครื่องมือที่ยุติธรรม เข้าถึงง่าย และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” - พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุ