ไม่พบผลการค้นหา
อดีต รมว.พลังงาน ห่วงสัญญาณเศรษฐกิจทรุดรุนแรง ก่อนมีไวรัสแย่อยู่แล้ว ชี้รัฐบาลหมดทั้งความน่าเชื่อถือและความมั่นใจ เย้ยวิกฤตการณ์พิสูจน์แล้วผู้นำสอบตก

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยเตือนเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวต่ำกว่า 2% โดย ไตรมาสแรกเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวไม่ถึง 1% ซึ่งทรุดหนักมาก ซึ่งเป็นไปตามที่ตนได้เตือนก่อนหน้านี้แล้ว และน่าเป็นห่วงว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะถดถอยหรือขยายตัวติดลบก็ยังเป็นไปได้มาก จากสาเหตุที่เศรษฐกิจไทยทรุดตัวอย่างรวดเร็วเหมือนเสาหลักเสื่อมอย่างหนัก ตามที่นายสมคิดเคยพูดไว้เองในปี 2556 แต่กลับไม่ได้มีการแก้ไขอะไร เกิดมาจากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดมาตลอด 5 ปี ของรัฐบาล

นายพิชัย ระบุว่า เศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาได้อาศัยเพียงการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพียงตัวเดียว ทั้งนี้เพราะเครื่องยนต์อื่นไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การลงทุน การบริโภคของประชาชน แทบจะไม่ขยายตัวแถมยังติดลบด้วย และรัฐบาลก็ไม่ได้มีการดำเนินการพัฒนาเพื่อแก้ไขปรับปรุงเลย โดยบริหารงานเหมือนไม่รู้เลยว่าต้องพัฒนาประเทศอย่างไร ประชาชนไม่ได้รู้สึกเลยว่าประเทศดีขึ้นอย่างไร การใช้จ่ายภาครัฐก็เป็นไปอย่างสะเปะสะปะ มีแต่การแจกเงิน แต่ไม่ได้พัฒนาประเทศ

"ดังนั้นเมื่อประสบปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าทำให้การท่องเที่ยวหยุดชะงัก จำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะลดลงมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน เศรษฐกิจไทยจึงย่ำแย่อย่างหนักเพราะไม่เหลือเครื่องยนต์ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกแล้ว" นายพิชัย กล่าว

ทั้งนี้ สัญญาณเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มีมาก่อนที่จะเกิดไวรัสโคโรน่าด้วยซ้ำโดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วก่อนมีปัญหาไวรัสโคโรน่า เศรษฐกิจไทยก็ขยายตัวได้ต่ำเพียง 1% กว่าเท่านั้น ซึ่งถือว่าทรุดหนักอยู่แล้ว และยังแสดงให้เห็นอีกว่า โครงการแจกเงินสะเปะสะปะของรัฐบาล อย่าง ชิมช้อปใช้ เป็นการสูญเปล่า เปลืองเงินแต่ไม่ได้ช่วยฟื้นเศรษฐกิจเลย และพอมาเจอปัญหาไวรัสโคโรน่าจึงทำให้ยิ่งทรุดหนัก แล้วรัฐบาลก็คิดได้เพียงจะขยายวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ และ ออกนโยบาย ชิมช้อปใช้ อีก ซึ่งแทบจะไม่มีผลอะไรต่อเศรษฐกิจเลย เหมือนกับเป็นการเอากระป๋องตักน้ำไปดับไฟป่าที่กำลังลุกโชน

โดยภาวะเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่นี้ จะถดถอยลงไปเรื่อยๆ โดยยังไม่มีทิศทางอะไรที่จะฟื้นเศรษฐกิจกลับมาได้ ทั้งนี้เพราะความเชื่อใจและความมั่นใจต่อรัฐบาลนี้ไม่มีเหลือแล้ว ซึ่งพิสูจน์มากว่า 5 ปีแล้วที่รัฐบาลไม่มีความสามารถในการบริหารประเทศ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ปัญหาเศรษฐกิจ แม้กระทั่งปัญหารับมือวิกฤตการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในระยะไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำความล้มเหลวในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะเหตุการณ์ทหารกราดยิงประชาชนที่โคราช ที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เป็นทหารเก่าได้ทำลายความนิยมและภาวะผู้นำของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ปัญหาการรับมือภัยแล้ง ปัญหาน้ำประปาเค็ม ปัญหาฝุ่น PM2.5 ปัญหาการเสียบบัตรแทนกันในการโหวตงบประมาณที่พึ่งจะได้โหวตใหม่ แม้กระทั่งแค่เรื่องการขายหน้ากากอนามัยป้องกันไวรัสโคโรน่าหน้าทำเนียบรัฐบาล และต่อมาต้องเปลี่ยนมาแจกแทนเพราะถูกตำหนิอย่างมาก เป็นต้น 

"ประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร ถ้าผู้นำและรัฐบาล ไม่เหลือทั้งความน่าเชื่อถือและความมั่นใจอีกต่อไปแล้ว คนไทยทั้งประเทศจะแค่นั่งรอชะตากรรมที่เห็นความหายนะและความลำบากอย่างมากของประชาชนอยู่ข้างหน้าแต่ไม่ทำอะไร หรือ คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว อย่างนั้นหรือ" นายพิชัย ระบุ