ไม่พบผลการค้นหา
แม้ต้องแลกมากับการเสียโอกาสในวงการบันเทิงตลอดช่วง 6 ปี หลังชวนคนฝ่าม็อบ กปปส.ไปเลือกตั้ง แต่ 'เพชร-กรุณพล' บอกว่า "ผมยังน้อยกว่าคนอื่น" ที่ลงถนนต่อสู้ พร้อมขอเป็นกำลังใจให้เยาวชนเปลี่ยนแปลงประเทศ ดึงคนเห็นต่างเป็นแนวร่วม อย่าผลักเป็นศัตรู

"บางคนมาขอโทษ เขาไม่รู้ว่าที่ผ่านมา 6 ปี เราโดนอะไรมาบ้าง แต่ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม ยอมรับว่ามีบางช่วง แต่เทียบกับน้องๆ หรืออีกหลายคนที่ทำอะไรมากกว่าเรา เขาเหนื่อยกว่าเราเยอะ คนที่ออกไปต่อสู้ แล้วโดนจับขังคุก คนที่ออกไปต่อสู้แล้วโดนกระทืบโดยที่ยังจับใครไม่ได้ คนที่ออกมาพูดแล้วต้องตกงาน คนพวกนี้เขาหนักกว่าเราอีก เรารู้สึกว่าจิ๊บจ๊อยมากสำหรับสิ่งเหล่านี้"

เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ นักแสดง เล่าถึงกระแส #เพชรกรุณพล ที่มีคนขุดเรื่องราวการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของเขาตั้งแต่ปี 2557 มาเผยแพร่ในทวิตเตอร์ ทำให้มีคนจำนวนมากมาสนับสนุน On a Cloud ร้านกาแฟเล็กๆ ที่ลงทุนโดยใช้เงินเก็บจากการทำอาชีพนักแสดงมากว่า 20 ปี จนลูกค้าเพิ่มขึ้น 4-5 เท่าต่อเดือน

แม้จะขอบคุณทุกกำลังใจ แต่เพชรไม่อยากให้ทุกคนมองแค่ความเป็นดาราหรือผู้มีชื่อเสียงถูกกระทำ อยากให้มองไปถึง ‘คนปกติ’ ที่โดนกระทำด้วย เนื่องจากคนเหล่านี้ต้องการกำลังใจ อยากได้รับการช่วยเหลือหรือโอบอุ้ม ซึ่งในบทบาทนักแสดงตนพยายามยืดหยัดในวิถีทางประชาธิปไตยและเป็นกระบอกเสียงเท่าที่จะทำได้ 

เพชร เล่าว่า การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนของศิลปินส่วนใหญ่ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายคนค่อนข้างสงบปากสงบคำ เพราะเกรงจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานต่างๆ ทัั้งละคร พรีเซนเตอร์ และอีเวนต์

เพชร กรุณพล.jpg

ต้นทุนชีวิตที่ต้องแลกหลังต้าน กปปส.ล้มเลือกตั้ง

ย้อนไปเมื่อช่วงการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 เวลานั้นเกิดความวุ่นวายทางการเมือง กลุ่ม กปปส.ได้พยายามปิดกั้นไม่ให้เกิดการเลือกตั้งขึ้น

เพชร เล่าว่า ศิลปินหลายคนเชื่อว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทุจริต ทำทุกอย่างเพื่อให้พี่ชาย (ดร.ทักษิณ ชินวัตร) กลับมา และหากปล่อยให้เลือกตั้งต่อไป รัฐบาลชุดนี้จะกลับมาอยู่ดี พวกเขาเชื่อว่าต้องปฏิรูปก่อนเพื่อให้ได้คนใหม่ๆ เข้ามา

ตอนนั้นเพชรถามเหล่าเพื่อนฝูงศิลปินดาราว่า "เราจะปฏิรูปอะไร?" ก่อนได้รับคำตอบว่า "กำลังคิดกันอยู่"

เมื่อถามว่า "แล้วใครจะปฏิรูป?" คำตอบก็คือ "ลุงกำนันกับพรรคพวก"

เมื่อได้ยินดังนั้นเพชรไม่เชื่อและเห็นต่างว่าถ้าหาแนวทางปฏิบัติไม่ได้ การล้มกระดาน ก็เปรียบเสมือนอยากสร้างบ้านใหม่โดยเผาบ้านเดิมทิ้ง ทั้งที่ยังไม่มีแบบบ้านใหม่หรือเงินก่อสร้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องประหลาดมาก

หลังจากไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว เพชรเลือกที่จะชวนคนออกไปใช้สิทธิตามขั้นตอนประชาธิปไตยแทน อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาได้รับกลับกลายเป็นการถูกผู้ใหญ่ในวงการตัดโอกาสจ้างงาน ไม่รับไหว้ และลดระดับความสัมพันธ์

เพชร เปิดใจว่า ตอนแรกไม่คิดว่าจะรุนแรงหรือมีการแสดงออกที่เลวร้ายขนาดนี้ ถึงขั้นทำเหมือนตนเป็นอากาศธาตุ ช่วงแรกๆ รู้สึกเสียใจ แต่พอมานั่งคิดดูก็ปล่อยวางได้ เพราะเชื่อว่ากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง

ผลกระทบเรื่องงานและรายได้มีบ้าง แต่ไม่มากจนกระทั่งเดือดร้อนขัดสน และยังมีผู้จัดละครอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้เอาประเด็นทางการเมืองมาเกี่ยวข้องกับการทำงานในวงการบันเทิง

ผลกระทบที่เด่นชัดสุดคือการถูกถล่มและวิพากษ์วิจารณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย แต่เพชรบอกว่า "รู้สึกเฉยๆ เพราะคนเรามีความเห็นต่างกันได้ เกลียดกันได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย"

เขาบอกว่ายินดีกับการรับฟังและอธิบายเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจมากขึ้น ส่วนคนที่ไม่พร้อมจะรับข้อมูลและตั้งใจมาเพื่อด่าทอเพียงอย่างเดียว ก็จำเป็นต้องปล่อยไป

"อีนี่ไง เสื้อแดง ทาสทักษิณ" เพชรยกตัวอย่างการถูกพูดถึงในด้านลบ ทั้งที่ไม่ได้รู้จัก ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นการส่วนตัว รู้จักเพียงลูกสาวและเป็นเพื่อนกันในอินสตาแกรม โดยพูดคุยกันในเชิงให้กำลังใจเท่านั้น แต่ถูกคนตีความว่าเป็นเสื้อแดง

เขาบอกว่า สังคมไทยพอเกลียดใครแล้วก็ต้องเกลียดทั้งหมด ปฏิเสธการรับฟังและการอธิบายจากอีกฝ่ายอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามปัจจุบันได้รับการปฏิบัติที่เป็นบวกขึ้นมากจากคนรอบข้าง เช่น ตอนไปคิชฌกูฏ มีชาวบ้านทักว่า "ไม่เคยดูผลงานเลย แต่ชอบที่ไปเลือกตั้ง"

อีกกรณีที่เขาตกเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง คือการเข้าร่วมงานเสวนา 'อยากเห็นเมืองไทยดีกว่าวันนี้' ของเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2561

เมื่อถูก ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ พิธีกรถามว่า "อยากเห็นลุงตู่อยู่ต่อไหม?" เพชรตอบว่า "ให้อยู่ทำซากอะไร?..." ซึ่งในคลิปวิดีโอที่เผยแพร่มีการเซ็นเซอร์คำว่า 'ซาก' ที่ไม่ใช่คำหยาบคายออกไป คนก็เอาไปจินตนาการต่อว่าเป็นคำแรงๆ แล้วก็ด่าว่าทำไมหยาบคาย ทั้งที่ไม่ใช่ อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าคิดแบบนั้นจริงๆ ว่าจะอยู่ทำไม ?

"คนที่เป็นทหาร เราไม่เถียงนะว่าเขาเป็นทหารที่เก่ง เขารบเก่ง แต่ไม่ใช่นักบริหารที่เก่ง การบริหารธุรกิจของประเทศ องค์กรขนาดใหญ่ มันไม่เหมือนกับทหาร ไม่เหมือนกับตำรวจ ไม่เหมือนข้าราชการ เราเลยคิดว่าไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ ถ้าคุณไม่เคยมาทำธุรกิจส่วนตัว ไม่เคยมาเป็นคนที่ทำธุรกิจจริงๆ คุณไม่เหมาะที่จะมาบริหารประเทศหรอก เราคิดแบบนั้น" เพชร กล่าว

เพชร กรุณพล

ทำอย่างไรเมื่อ 'ทัวร์ลง'

เมื่อออกตัวชัดเจน จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่ากลัวเสียความนิยมไหม? เพชรตอบอย่างมั่นใจว่า "ไม่เลย" เพราะคิดว่าตัวเองไม่ใช่ดารา ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ ทุกวันนี้เป็นแค่นักแสดงเฉยๆ ทำอาชีพรับจ้างใครจ้างให้ไปแสดงก็ไป ใครจ้างให้ไปออกงานก็ไป ถามว่าฐานแฟนคลับสำคัญไหม ก็ต้องตอบว่าสำคัญ เพราะถ้ามีแฟนคลับมากก็จะได้รับการตอบรับจากสินค้า แต่ตัวเองเป็นดารายุคเก่าอยู่วงการบันเทิงมา 20 ปี โซเชียลมีเดียมีไว้แค่เก็บภาพและความรู้สึก ไม่ได้สนใจว่าจะต้องมีคนตามเท่าไร คอมเมนต์เท่าไร ยิ่งมีคนมาคอมเมนต์น้อยยิ่งดี จะได้ตอบคนที่เข้ามาคอมเมนต์ได้ หรือได้ใกล้ชิดกับคนที่สนใจเรื่องราวของเราจริงๆ

เพชร กล่าวต่อไปอีกว่า 6 ปีที่ผ่านมา เขาเสียโอกาสทางหน้าที่การงานนิดๆ หน่อยๆ แต่เอาจริงๆ ไม่ได้คิดว่าการเป็นนักแสดงจะหล่อเลี้ยงชีวิตได้จนตาย นักแสดงคืออาชีพที่ทำเงิน แล้วเอาเงินไปลงทุนต่อยอดทำธุรกิจอื่นๆ

"ถ้าวันหนึ่งคนจะมาแบนหรือไม่ชอบ ก็ปล่อยเขาไป แต่ไม่ไปทำร้ายหรือชี้หน้าด่าใคร เป็นสิทธิของเขา เหมือนกับสิทธิของเราที่จะแสดงจุดยืน อยากจะแบนก็ไม่เป็นไร ที่บ้านก็พอมีธุรกิจ แล้วก็เก็บเงินมาตั้งแต่เข้าวงการ เพื่อสร้างตัวเอง ถามว่าร่ำรวยไหม ก็ไม่ แถมยังมีหนี้สิน แต่มีจุดยืนที่เลือกเป็นกระบอกเสียงบอกทุกคนว่าประเทศไทยควรไปทางไหน"

ส่วนกรณีการแบน 'ม้า อรนภา กฤษฎี' และ 'เหมี่ยว ปวันรัตน์ นาคสุริยะ' เพชรมองว่าความรุนแรงอยู่แค่ในโลกออนไลน์ แต่ออฟไลน์ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปชี้หน้าด่ากัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความคิดของเขา การเป็นคนอยู่ในที่สว่างมีชื่อเสียง จะทำอะไรต้องคิดเยอะๆ คำบางคำที่เราใช้จนเคยชินกับเพื่อนสนิท สำหรับบางคนที่เราไม่รู้จักนั้นแรงมาก

กรณีของเหมี่ยวที่แสดงท่าทียินดีบนเวที กปปส. กับการที่มีคนเสียชีวิต ในช่วงความวุ่นวายปี 2557

เพชรคิดว่าเป็นเพราะเขาอยู่ในม็อบ การรับรู้ข่าวสารจำกัดอยู่แค่ด้านเดียว คืนที่เขาพูดเพิ่งมีการปะทะและยิงกัน ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้ตายเป็นใคร มีแต่ข่าวนำเสนอว่าเป็นคนที่ยิงสู้กับฝั่ง กปปส. จนวันรุ่งขึ้นถึงรู้ว่าเป็นคนบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวกับม็อบ กระแสของม็อบในตอนนั้นพาไปให้สนุกปาก แต่ความพลาดคือหลังจากนั้นเขาไม่ขอโทษ จึงเป็นผลในวันนี้

เพชร กรุณพล

เชื่อในโครงสร้างที่ถ่วงดุล-ตรวจสอบได้

"ทุกวันนี้โดนด่าเป็นเสื้อแดง เป็นเสื้อส้ม เป็นพวกล้มเจ้า แต่ก็เฉยๆ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นอะไร จะเอาคำคนอื่นมาเก็บใส่ใจทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่ เพื่ออะไร? เพื่อทำลายตัวเอง? แล้วจมอยู่กับความทุกข์ที่ทุกคนถาโถมใส่เข้ามา แต่ถ้าปล่อยผ่านก็เป็นเพียงคำพูดที่ลอยเข้ามาแล้วหายไป"

จุดยืนทางการเมืองของเพชรคือ การไม่เชื่อในตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอให้มีความรู้ความสามารถ หรือเลือกใช้คนมาทำประโยชน์สาธารณะภายใต้ระบบที่มีการถ่วงดุลและตรวจสอบได้

เขาเปิดเผยว่าเมื่อก่อนเคยเชื่อใน 'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล, พรรณิการ์ วานิช' เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาแก้ปัญหาประเทศ แต่วันนี้คนเหล่านี้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ทำให้คิดได้ว่า ถ้ายึดติดกับตัวบุคคลมากๆ แล้ววันหนึ่งเขาหายไป เราคงผิิดหวังมาก ดังนั้นจึงขอเลือกยึดมั่นในกฎหมาย ความเที่ยงธรรม แม้ว่าวันนี้จะเป๋ไปบ้างก็ตาม

เพชรบอกว่า ระบบการปกครองและกระบวนการยุติธรรมต้องคานอำนาจกัน แต่วันนี้กลับไม่เป็นแบบนั้นจนกลายเป็นที่สงสัยของประชาชน

"วันนี้ตุลาการจะทำอะไรก็ได้ ? ระบบตรวจสอบของ ป.ป.ช. จะทำอะไรก็ได้ ? ตั้งหน่วยงานขึ้นมาสอบใครสักคนโดยเอาคู่ต่อสู้ทางการเมืองหรือคนที่มีความรู้สึกไม่ดีต่อกันมาตรวจสอบ ยังไงเขาก็ไม่รอด หรือการเอาพวกเดียวกันมาสอบ แล้วผลสอบออกมาเขาจะมีความผิดได้ยังไง ความจริงต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับ

"ถ้าหน่วยงานนี้ทำผิดก็จะมีอีกหน่วยงานมาตรวจสอบเป็นงูกินหาง ไม่มีหน่วยงานไหนกล้าทำอะไรนอกลู่นอกทาง แต่ทุกวันนี้เหมือนเชือกเส้นเดียวที่สุดท้ายไม่มีใครมาลงโทษคนที่ทำผิด

การเมืองที่เพชรอยากเห็นคือ คนทำผิดไม่ว่าเสื้อสีไหน ก็ต้องรับโทษอย่างจริงจังตามกฎหมายเสมอหน้ากัน ไม่มีการอภัยโทษ ไม่มีการพักโทษ ไม่ใช่เป่าคดีให้กันได้ อย่างนี้อำนาจก็กลายเป็นสิ่งหอมหวาน

"กฎหมายเขียนว่ารัฐประหารเป็นกบฎ โทษประหารชีวิต แต่กลายเป็นว่ามีคนรับรองว่าถูกต้อง สามารถฉีกรัฐธรรมนูญไม่ต้องรับโทษได้ งั้นต่อไปก็รัฐประหารกันได้ แล้วต่อจากนี้จะฆ่าใครก็ได้ที่เห็นต่างเหรอ? มันก็ไม่ใช่"

เพชร กรุณพล

หนุนรวมมวลชนเปลี่ยนชาติ อย่าผลักคนเห็นต่างเป็นศัตรู

ในวัย 40 ปี เขาเห็นว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลาซึ่งระบบการเมืองไม่ง่าย ต้องใช้วิธีรวบรวมมวลชน ความเชื่อ ความคิด ใครที่คิดต่าง อย่าไปผลักเขาเป็นศัตรู ใครที่ยืนอยู่ตรงกลาง ไม่ได้ออกมาช่วย อย่าไปด่าเขาว่าเป็นพวก Ignored แต่จงให้เหตุผล ให้สติ ดึงเขาเหล่านั้นกลับมาเป็นพวก

การเมืองคือการรวมมวลชน ถ้าอยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศ ต้องได้มติส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศ แล้วจะได้มติของประเทศ ในวันที่เขาเปลี่ยน แทนที่จะได้ศัตรู คุณได้พวก การได้พวกเพิ่มเท่ากับศัตรูลดลง

เพชรบอกว่า ความเชื่อของคนรุ่นตนหรือเก่ากว่านั้นอาจเปลี่ยนแปลงได้ยาก แต่ไม่ใช่ไม่มีทาง โดยเฉพาะหากมีข้อเท็จจริง ข้อมูลและเหตุผลเพียงพอให้อีกฝ่ายได้ตระหนักและเข้าใจ

เขามองว่าประเทศไทยแหลกเหลวมามาก ถึงเวลาที่ทุกคนไม่ว่าช่วงอายุไหน ต้องร่วมมือกันกำจัดเหลือบไรที่เกาะกินประเทศให้ได้รับผลกรรม ทำอย่างไรให้กฎหมายบังคับใช้ได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ต้องมาเห็นประชาชนนั่งด่ากันด้วยวาทกรรม สลิ่ม ความแดง ความส้ม หรือชังชาติ

"อยากรู้ว่าชาติคืออะไร ถ้าเกลียดรัฐบาล รัฐบาลไม่ใช่ชาติ เกลียดลุงตู่ลุงตู่ไม่ใช่ชาติ ชาติคือผืนแผ่นดินนี้ ทุกคนอยากให้ชาติได้ดี แต่มีคนบางคนที่อ้างคำว่าทำเพื่อชาติ แต่กอบโกยทุกอย่างเข้ากระเป๋าตัวเองและพวกพ้อง"

เมื่อถามว่า หากอนาคตกระแสตีกลับมาเป็นลบกับตัวเอง จะกลัวหรือเปลี่ยนจุดยืนหรือไม่ ?

เพชรตอบว่า เขายึดมั่นในจุดยืนนี้มาเป็น 10 ปี เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ทำถูกต้อง ไม่ได้ทำร้ายใคร หากวันนึงกระแสตีกลับจนน้องๆ เยาวชนมาด่าก็ไม่เป็นไร เพราะเชื่อว่าทุกคนหวังดีกับประเทศทั้งนั้น แม้กระทั่ง กปปส.ที่ออกมาเป่านกหวีดก็เพราะอยากให้ประเทศเจริญ ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน แต่เส้นทางที่ไปไม่เหมือนกันอาจจะเดินทางซ้าย ทางขวา ปีนหน้าผา หรือขับรถ ไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางไหนดีกว่ากัน เส้นทางไหนถูกหรือผิด อย่างเดียวที่จะรู้คือเมื่อไปถึงเป้าหมายแล้วทำให้เป้าหมายสำเร็จ แต่อย่าไปทำร้ายคนที่เดินอีกเส้นทางต่างจากเรา เพราะบางเส้นทางอาจจะไม่ดีกับตัวเขา

"วันนี้ผมเลือกเส้นทางแล้ว ถ้าคนที่ไม่ชอบแล้วจะบอกว่าเส้นทางนี้ผิด ก็ไม่เป็นไรจะก้มหน้าก้มตาเดินตามเส้นทางของตัวเองต่อไป" ดาราหนุ่มทิ้งท้าย