ไม่พบผลการค้นหา
เทรนด์การลงทุนอย่างคริปโตเคอร์เรนซีและ NFT ต่าง "อิงอยู่กับทฤษฎีคนโง่กว่าแบบ 100%"

บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟต์ อภิมหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลก ผู้มีความมั่งคั่งที่ถูกรายงานในเดือน มี.ค.2565 ที่ 133,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 4.68 ล้านล้านบาท กล่าวแสดงความเห็นบนเวทีงานประชุมของ TechCrunch โดยระบุว่า เทรนด์การลงทุนอย่างคริปโตเคอร์เรนซีและ NFT ต่าง "อิงอยู่กับทฤษฎีคนโง่กว่าแบบ 100%" 

เกตส์กล่าวเพิ่มเติมว่า นักลงทุนสามารถทำเงินได้อย่างมากมายในปัจจุบันจากสินทรัพย์ที่ไร้ค่า หรือไม่ก็สินทรัพย์ที่มีราคาสูงมากเกินไป ตราบเท่าที่ยังมีคนต้องการให้ราคากับสินทรัพย์พวกนี้มากขึ้นไปเรื่อยๆ โดย "ทฤษฎีโง่กว่า" ที่เกตส์หมายถึง ก็คือการที่สินทรัพย์หนึ่งซึ่งมีราคาสูงมากเกินไปอยู่แล้ว แต่ยังมี 'นักลงทุนที่โง่กว่า' ยอมให้ราคาที่สูงมากขึ้นไปอีก 

คอมเมนต์จากเกตส์มีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ราคาคริปโตเคอร์เรนซีที่กำลังร่วงอย่างหนัก เมื่อเดือน พ.ย. 2564 ที่ผ่านมาบิตคอยน์มีราคาสูงถึง 69,000 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิตคอยน์ ปัจจุบันร่วงลงมาอยู่ที่ราว 20,849 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิตคอยน์เท่านั้นในวันที่ 17 มิ.ย.2565

เมื่อมีการพูดถึง NFT แน่นอนว่าต้องมีการเอ่ยชื่อ 'Bored Ape Yacht Club' อย่างแน่นอน เพราะเป็น NFT ที่มีราคาสูงและเป็นที่จับตาที่สุดของโลกตัวหนึ่ง 

เกตส์ได้ล้อเลียน NFT นี้ว่า "รูปลิงแบบดิจิทัลราคาแพงพวกนี้น่าจะทำให้โลกดีขึ้นอย่างมหาศาลอยู่นะ" โดยที่งานประมูลของ Sotheby ในปี 2564 ภาพดิจิทัล '101 first-edition Bored Ape Yacht Club' ถูกขายไปในราคาสูงถึง 24.4 ล้านดอลลาร์ หรือราว 860 ล้านบาท

อภิมหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลกย้ำว่า เขาคุ้นเคยกับสินทรัพย์ที่จับต้องได้อย่างการทำฟาร์มซึ่งมีผลผลิตออกมาให้เห็นจริงจัง หรือบริษัทต่างๆ ที่มีผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นรูปธรรม โดยก่อนหน้านี้เกตส์เคยแสดงความเห็นกับ Bloomberg ในปี 2564 ว่า "การที่อีลอน มัสก์และเทสลาลงทุนในบิตคอยน์นั้นก็คือเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับนักลงทุนทั่วไปอาจจะไม่จำเป็นต้องไปตามแนวทางนั้น โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มีเงินเย็นจำนวนมาก"