ในวาระครบรอบ 7 ปีการรัฐประหารโดย คสช. และพล.อ.ประยุทธ์ก็ยังอยู่กับเรา จึงลองทบทวนเหตุการณ์ในช่วงนั้นและย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ดูร่องรอยของประชาธิปไตย
- เหตุผลในการทำรัฐประหารครั้งที่ 13 โดย คสช. ที่ระบุในใบปลิวที่แจกจ่ายให้ประชาชน บอกไว้ 10 ข้อคือ 1. มีความขัดแย้งทางความคิดการเมืองรุนแรง 2. การปกครองเดิม ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ 3. แนวทางการเลือกตั้งในรูปแบบเดิมมีการต่อต้านอย่างกว้างขวาง เกิดปัญหาความวุ่นวายไม่จบสิ้น 4. การชุมนุมต่อเนื่องถึง 6 เดือน โดยขัดแย้งทางความคิดมาตลอด 9 ปีไม่อาจปรองดองกันได้ 5. ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน มีคดีความจำนวนมากอยู่ในชั้นศาล และยังรอตัดสิน 6. การบังคับใช้กฎหมายบังคับใช้ไม่ได้ทุกกลุ่ม ทำให้เกิดความหวาดระแวง เกลียดชังกันในหมู่ประชาชน 7. การบริหารราชการแผ่นดินในห้วงที่ผ่านมาไม่สามารถกระทำได้ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาติ 8. มีการล่วงละเมิดสถาบันฯ ตามมาตรา 112 ทั้งทางลับและเปิดเผย 9. การปลุกระดมมวลชนที่มุ่งเอาชนะฝ่ายตรงข้ามโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ 10. ปรากฏชัดว่ามีการจัดตั้งและใช้กองกำลังติดอาวุธจำนวนมาก เพื่อปฏิบัติการอย่างรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้าม
- การยึดอำนาจเกิดขึ้นหลังจาก กปปส.ชุมนุมทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ฯ เริ่มต้นจากการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขยับสู่การเรียกร้องนายกฯ คนกลาง ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องดั้งเดิมที่พันธมิตรฯ เคยนำเสนอ “นายกพระราชทาน” เส้นทางนี้กลายเป็นเครื่องมือต่อสู้กับรัฐบาลจากการเลือกตั้งของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งชนะใน ‘เกมตัวเลข’ อย่างยากที่ใครจะโค่นล้มได้ ต่อมา กปสส.ยกระดับข้อเสนอสู่การปฏิรูปประเทศผ่าน ‘สภาประชาชน’ ซึ่งมีสมาชิก 400 คน มาจากสาขาอาชีพต่างๆ 300 คน และ กปปส.เลือกผู้ทรงคุณวุฒิ 100 คน โดยรัฐบาลรักษาการณ์ต้องลาออกเพื่อเปิดทางปฏิรูปด้วย
- รัฐบาลเพื่อไทยเลือกเส้นทางยุบสภาเพื่อไปสู่การเลือกตั้งใหม่ และรัฐบาลรักษาการณ์ก็ไม่ออกจากตำแหน่งให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ม็อบยังคงลากยาวโดยระหว่างนั้นความรุนแรงระหว่างชุมนุมเกิดขึ้นเป็นระยะ แล้วกองทัพก็เข้ามาทำหน้าที่เป็น ‘กรรมการกลาง’ ประกาศกฎอัยการศึกเรียกทุกฝ่ายมาพูดคุย ก่อนจะทุบโต๊ะยึดอำนาจโดยอ้างว่าการหารือที่เพิ่งเกิดขึ้นแค่วันเดียวนั้นหาข้อยุติไม่ได้
- ตลอดการชุมนุมราว 6 เดือน ของ กปปส. พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ.ในขณะนั้นตอบคำถามผู้สื่อข่าวหลายครั้งมากว่า ไม่มีการคิดทำรัฐประหารอย่างแน่นอน กระทั่งในที่สุดคำว่า “ไม่” สำหรับกองทัพก็คือคำว่า “ใช่” หลังยึดอำนาจไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ว่า การยึดอำนาจเป็นเรื่องลำบากใจที่สุดในชีวิตและใช้เวลาเตรียมการถึง 6 เดือน
- คสช.อยู่ในอำนาจยาวนานถึง 5 ปีเศษ เป็นคณะรัฐประหารที่อยู่นานเป็นอันดับ 3 รองจากยุคจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทั้งยังเป็นคณะรัฐประหารที่ครองอำนาจระหว่างมีการเปลี่ยนแปลงรัชกาล
- หากดูเส้นทางประชาธิปไตยนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย หรืออันที่จริงเรียกชื่อตามคำภาษาอังกฤษได้ว่า ‘ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญง (Constitutional Monarchy) เราจะพบว่าตลอดเวลา 89 ปี โดยส่วนใหญ่ประเทศไทยปกครองโดยรัฐบาลทหารหรือตัวแทนของทหารรวม 65% ที่เหลือเป็นรัฐบาลพลเรือนที่ขาดเสถียรภาพแทบทั้งสิ้น ยกเว้นในสมัยของพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นรัฐบาลพลเรือนชุดแรกที่อยู่บริหารครบ 4 ปี
- ฉะนั้น สังคมไทยมีเวลาฝึกฝนบทเรียนประชาธิปไตยกันเพียงราวๆ 30 ปีและอย่างกระจัดกระจายอย่างยิ่ง อาจกล่าวได้ว่า ‘ประชาธิปไตย’ จึงเป็นเรื่องใหม่จนกระทั่งบัดนี้ จิตสำนึกที่จะเชื่อมั่นในประชาธิปไตยของประชาชนก็ดูเหมือนยังไม่แข็งแรงมั่นคงเพียงพอ ดูได้จากการสำรวจความคิดเห็นสมัยที่มีการรัฐประหาร 2549 หรือ 15 ปีที่แล้ว สวนดุสิตโพลสำรวจความเห็น 2,019 คน พบว่า 83.89% เห็นด้วยกับการรัฐประหาร และ 75.04% เชื่อว่าการรัฐประหารครั้งนั้นจะทำให้การเมืองดีขึ้น
- การไม่สามารถหยั่งรากประชาธิปไตยในสังคมไทยเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ นักประวัติศาสตร์ ‘ตัดจบ’ การเติบโตของประชาธิปไตยไทยที่ปี พ.ศ.2490 ซึ่งมีรัฐประหารครั้งสำคัญอันทำให้ทหารครองอำนาจทางการเมืองเบ็ดเสร็จและกลุ่มอำนาจเก่าเริ่มผงาดขึ้นมา แล้วค่อยๆ พัฒนาจนอาจกล่าวได้เป็นองคาพยพเดียวกัน
- ‘คณะราษฎร’ มีอำนาจในการก่อร่างสร้างประชาธิปไตยสิริรวมแล้วเพียง 15 ปี และตลอด 15 ปีนั้นก็เป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงปีเดียวก็มีการก่อกบฏ ‘บวรเดช’ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยของสถานการณ์โลกอย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกแยกภายใน ทั้งยังมีกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ที่ฝ่ายอำนาจเก่า/กลุ่มอนุรักษ์นิยม/รอยัลลิสต์หยิบใช้มาบดขยี้ฝ่ายนำการเปลี่ยนแปลง จากนั้นเครือข่ายอำนาจเก่าจึงค่อยๆ กลับขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองอีกหน และปักหลักมั่นคงในช่วงสงครามเย็นซึ่งเป็นยุครวมใจไทยสู้ภัยคอมมิวนิสต์
- ความกระท่อนกระแท่นของการเมืองรัฐสภา การครองอำนาจที่ยาวนานของกองทัพ ทำให้มีงานศึกษาจำนวนไม่น้อยชี้ว่า การบริหารประเทศไทยจริงๆ แล้วอยู่ในมือ ‘เทคโนแครต’ หรือผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหารในระบบราชการ /ขุนนางนักวิชาการ ที่มีอิทธิพลกำหนดนโยบายสาธารณะ ประกอบกับภาพลักษณ์นักการเมืองก่อนปี 2540 ที่มีปัญหาคอร์รัปชัน ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนไม่ศรัทธาในนักการเมือง ไม่เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา กระทั่งทำให้คนทั่วไปรู้สึกรังเกียจทั้ง ‘นักการเมือง’ และ ‘การเมือง’ โดยมองเห็นเป็นเรื่องสกปรก
- ประชาธิปไตยได้กลับมามีโอกาสพัฒนาอีกครั้งหลังปี 2535 เพราะกองทัพพลาดท่าเสียทีในเหตุการณ์ความรุนแรงเดือนพฤษภาคม ทำให้สูญเสียความชอบธรรมและภาพลักษณ์จนต้องกลับเข้ากรมกองอยู่ช่วงสั้นๆ ประกอบกับคนชั้นกลางเติบโตขยายตัวมาก ภาคประชาชนเริ่มเข้มแข็ง ปัญหาการขาดเสถียรภาพทางการเมืองจึงถูกแก้ไขโดยรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดฉบับหนึ่ง เนื้อหาที่ยกร่างประสบผลสำเร็จในการปฏิรูปการเมือง สร้างนายกรัฐมนตรีและฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง รวมถึงเน้นการมีส่วนร่วมจากประชาชน แต่มันมีอายุอยู่เพียง 9 ปีก็ถูกฉีกทิ้งอีกครั้งโดยคณะรัฐประหารที่นำโดย พล.สนธิ บุญยรัตกลิน
- อย่างไรก็ตาม ต้องนับว่า คสช. เป็นคณะรัฐประหารที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ‘ไม่เสียของ’ มากที่สุด เพราะสามารถทำรัฐประหารได้ในยุคสมัยใหม่ที่ประชาธิปไตยและเศรษฐกิจโลกก้าวหน้าไปมาก ทั้งยังสามารถควบคุมสังคมได้อย่างเบ็ดเสร็จเป็นเวลายาวนาน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ตลอดอายุของ คสช.มีประชาชนอย่างน้อย 592 คนถูกติดตามคุกคามข่มขู่โดยเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างน้อย 276 คนถูกตั้งข้อหาตาม พ.ร.บ.การชุมนุมฯ หรือขัดคำสั่ง คสช.และอย่างน้อย 169 คน ถูกตั้งข้อหามาตรา 112 แบ่งเป็นการแสดงความคิดเห็น 106 คน การแอบอ้างสถาบันเพื่อผลประโยชน์ 63 คน ฯลฯ
- ผลงานยอดเยี่ยมที่สุดต้องยกให้การออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีมือวางอันดับหนึ่งอย่าง มีชัย ฤชุพันธุ์ พร้อมคณะ 21 คนปิดห้องจัดทำขึ้นราว 6 เดือนก็สำเร็จ หลังจากเพิ่งคว่ำฉบับก่อนหน้าที่ร่างโดยคณะของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ซึ่งใช้เวลาราว 10 เดือน จนบวรศักดิ์ตัดพ้อว่า “เขาอยากอยู่ยาว”
- รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ออกแบบสืบทอดอำนาจอย่างสลับซับซ้อน ผ่านการประชามติเมื่อ 7 ส.ค.2559 ท่ามกลางความคาดหวังของประชาชนว่าจะได้เลือกตั้งเสียที และการกดปราบเสียงผู้คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ ไอลอว์รายงานว่าการดำเนินคดีกว่าประชาชนช่วงประชามติรวม 195 คน กระนั้น หลังผ่านประชามติแล้วก็ยังมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม โดยประยุทธ์ใช้ ม.44 แก้ไขตามพระราชกระแสของในหลวงรัชกาลที่ 10 ใน 3-4 ประเด็นที่เกี่ยวกับ ‘พระราชอำนาจ’
- เนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 2560 และการออกแบบระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม (Mixed Member Apportionment MMA) ตอบโจทย์การครองอำนาจของ คสช.ที่จะมาในรูปลักษณ์ของการเลือกตั้ง มีการนิรโทษกรรม คสช.เรียบร้อยในตัวรัฐธรรมนูญ และที่สำคัญยังล็อคช่องทางการแก้ไขให้ ‘เป็นไปไม่ได้’ โดยมีผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการคือ ส.ว.จากการแต่งตั้งของ คสช. 250 คนที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้อย่างมาก โดยเฉพาะการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี (วาระดำรงตำแหน่งส.ว. 5 ปี คาบเกี่ยวรัฐบาล 2 ชุด) และผู้สนับสนุนอย่างไม่เป็นทางการอย่าง ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระอื่นๆ ทั้งหมดนี้ยังคงมีผลทำให้ประชาชนต้องกลายสภาพเป็น ‘ลิงแก้แห’ อยู่จนปัจจุบัน