ไม่พบผลการค้นหา
ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิงอย่าง ‘เน็ตฟลิกซ์’ ซึ่งลงซีรีส์ครบจบทั้งซีซั่นในคราวเดียว กำลังเข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ชมให้กลายเป็น ‘Binge-Watching’ หรือการดูซีรีส์ติดต่อกันแบบน็อนสต็อปตั้งแต่ 3 ตอนขึ้นไป ขณะเดียวกันบางคนก็เลยเถิดถึงกระทั่งซัดรวดเดียวจบทั้งซีซั่นในหนึ่งวัน

เมื่อปี 2016 ผลสำรวจจากดีลอยต์ (Deloitte) ที่ทำกับกลุ่มตัวอย่าง 2,200 คนในสหรัฐฯ เผยว่า มีผู้ชมซีรีส์แบบน็อนสต็อปถึง 70 เปอร์เซ็นต์ โดยชมติดต่อกันเฉลี่ยคราวละ 5 ตอน และ 35 เปอร์เซ็นต์ของวัยรุ่นยุคมิลเลนเนียลก็ดูต่อเนื่องแบบนี้เป็นปกติทุกสัปดาห์

แม้พฤติกรรมดังกล่าวจะมีให้เห็นบ้างในยุคที่ธุรกิจการให้เช่าวิดีโอหรือซีดีเฟื่องฟู แต่ด้วยรูปแบบของแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงในปัจจุบันที่มีรายการหลากเรื่อง หลายซีซั่นให้เลือกไม่หมดสิ้น อีกทั้งยังมีระบบการเล่นตอนต่อไปแบบอัตโนมัติ ที่กระตุ้นให้ผู้ชมไม่อิ่มกับการดูแค่ตอนเดียวอีกต่อไป และผลสำรวจจากเน็ตฟลิกซ์เองในปี 2013 ก็ระบุว่า 73 เปอร์เซ็นต์จากตัวอย่างทั้งหมด 1,500 คน บอกว่า รู้สึกดีกับการดูซีรีส์อย่างต่อเนื่อง

แน่นอนว่า การดูซีรีส์เรื่องโปรดแบบไม่อั้นก็ต้องมีความสุขอยู่แล้ว แต่ทำไมเราจึงมีความสุข และทำไมจึงหยุดไม่อยู่ ผู้เชี่ยวชาญต่างมีหลายแง่มุมในการอธิบาย

ดร.เรเน คาร์ (Dr. Renee Carr) นักจิตวิทยาคลินิก กล่าวว่า เมื่อเราทำกิจกรรมที่ทำให้เพลิดเพลินอย่างเช่นการดูซีรีส์ต่อเนื่องนั้น สมองจะผลิต ‘สารโดปามีน’ (Dopamine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งออกมาจากการเกิดความรู้สึกพึงพอใจ และเป็นสัญญาณที่สมองบอกร่างกายว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้ทำให้รู้สึกดี จงทำต่อไป

เมื่อดูซีรีส์เรื่องโปรดติดต่อกัน สมองจะผลิตสารโดปามีนออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายเคลิบเคลิ้มเหมือนเมายา ผู้ชมจึงเสพติดการดูซีรีส์เพราะร่างกายโหยหาโดปามีน ในลักษณะเดียวกับที่เสพติดเซ็กส์และยาเสพติด

“ร่างกายคนเราไม่ได้แยกแยะความพึงพอใจแต่ละชนิดออกจากกันร่างกายจึงเสพติดกิจกรรมหรือสารอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดการผลิตโดปามีนออกมาเรื่อยๆ”

ดร.จอห์น เมเยอร์ (Dr. John Mayer) นักจิตวิทยาคลินิก มองว่า การดูซีรีส์ติดต่อกันก็อาจใช้เป็นเครื่องมือช่วยลดความเครียดได้ โดยเป็นเหมือนที่หลีกหนีชั่วคราวจากเรื่องวุ่นวายในชีวิต

“เราโดนกระหน่ำด้วยความเครียดในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ยิ่งธรรมชาติของโลกทุกวันนี้มีข้อมูลข่าวสารท่วมหัวเราตลอด มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะปิดกั้นความเครียด และแรงกดดันออกไปจากสมอง การดูซีรีส์ต่อเนื่องกันสามารถเป็นดังปราการเหล็กที่กั้นไม่ให้สมองนึกถึงเรื่องเครียดทั้งหลายที่พยายามแทรกเข้ามาในความคิดเราตลอดเวลา”

ทว่าการดูซีรีส์รัวๆ อย่างไม่หยุดยั้งนั้นก็ย่อมไม่ได้มีเพียงแง่ดี บทความของจากฮัฟฟิงตันโพสต์ของดร.แคทเธอรีน แอล. แฟรนส์เซน (Dr. Catherine L. Franssen) นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยลองวูด (Longwood University) เล่าถึงอีกด้านหนึ่งของพฤติกรรมการติดซีรีส์ไว้ว่า สูตรของรายการทีวีนั้นเป็นที่รู้กันว่าต้องจบตอน หรือจบซีซั่นด้วยการทำให้อารมณ์ค้าง อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

เมื่อเผชิญกับความเครียดเนื่องจากไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ร่างกายก็ผลิตคอร์ติโคโทรฟิน รีลิสซิง ฮอร์โมน (Corticotropin Releasing Hormone: CRH) ออกมาเกินจำเป็น ซึ่งฮอร์โมน ชนิดนี้ส่งผลกับการหลั่งฮอร์โมนความเครียดตัวอื่นๆ ในร่างกายด้วย ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพตื่นตัวตลอดเวลา คล้ายกำลังเผชิญหน้ากับภยันตราย ซึ่งสามารถรบกวนการนอนหลับได้ ยิ่งประกอบกับแสงไฟจากหน้าจอที่รบกวนวงจรการนอนหลับอยู่แล้ว เมื่อเกิดดูซีรีส์แล้วอารมณ์ค้างตอนเที่ยงคืน เราจึงอาจรู้สึกไม่ง่วงเพลียเลย และสุดท้ายก็กดดูตอนต่อไป และต่อไป

ทางด้าน ดร.เมเยอร์ ยังกล่าวอีกว่า เมื่อดูซีรีส์ต่อเนื่องไปจนจบซีซั่น หรือจบเรื่องแล้ว จากความเพลิดเพลิน และตื่นเต้นอาจกลายเป็นความหดหูซึมเซาแทน เพราะสิ่งที่กระตุ้นเร้าสมองให้ตื่นตัวนั้นหายไปแล้ว

งานวิจัยชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัยโทเลโด (University of Toledo) เผยว่า ผู้ทำแบบสำรวจ 142 คน จากทั้งหมด 408 คน ระบุว่า ตัวเองเป็นพวกดูซีรีส์ต่อเนื่อง โดยคนกลุ่มนี้มีระดับความเครียด ความกังวล และซึมเศร้าสูงว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดูซีรีส์รัวๆ

สำหรับกรณีนี้ ดร.จูดี โรเซนเบิร์ก (Dr. Judy Rosenberg) นักจิตวิทยา มองว่าเป็นผลมาจากการดูซีรีส์คนเดียว ซึ่งเป็นการโดดเดี่ยวตัวเองจากสังคมรอบตัว “ธรรมชาติกำหนดให้มนุษย์ปฏิสัมพันธ์กัน เมื่อเราตัดขาดจากผู้คน และเชื่อมต่อกับรายการทีวีโดยละเลยความสัมพันธ์กับมนุษย์ สุดท้ายเราก็จะ ‘อดตาย’ ทางความรู้สึก”

สำหรับทางออกของความพอดีนั้น ดร. แฟรนส์เซน แนะนำวิธีการควบคุมเวลาที่ใช้ไปกับซีรีส์เรื่องโปรดสองแนวทาง ซึ่งเธอใช้กับลูกสาววัย 6 ขวบของเธอด้วย ทางแรกคือการกำหนดจำนวนตอนที่ดูได้ และสองคือกำหนดระยะเวลา โดยทั้งสองแนวทางมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

หากเลือกกำหนดจำนวนตอน ก็จะได้ดูจบเต็มตอนตามความตั้งใจของผู้กำกับ แต่ด้วยความตั้งใจของผู้กำกับนั่นแหละที่ทิ้งปมไว้ท้ายตอนก็จะทำให้ยิ่งอยากดูตอนต่อไป ในขณะที่การกำหนดเวลาอาจจะดูไม่สมเหตุสมผลสำหรับบางคนสำหรับการดูซีรีส์ค้างไว้ครึ่งตอน แต่ดร. แฟรนส์เซน เองเล่าว่าก็มีข้อดี เพราะจากประสบการณ์ของเธอเอง แม้บางครั้งลูกน้อยของเธอจะไม่พอใจบ้างที่ต้องหยุดดูกลางคัน แต่ก็ยอมหยุดดูง่ายกว่าแนวทางแรก เพราะจะไม่เจอกับปมอารมณ์ค้างที่ผู้กำกับวางไว้

สำหรับผู้ใหญ่ที่ใจไม่แข็งพอ และอาจไม่มีใครคอยเตือนแบบนี้เธอมองว่า การใช้เครื่องเตือนใจภายนอกอย่างการตั้งเวลาหรือนาฬิกาปลุกไว้ก็ช่วยได้ หรืออาจจะตัดสินใจหยุดดูกลางตอนเมื่อจบฉากจบซีนหนึ่ง เพื่อไม่ต้องเผชิญกับปมอารมณ์ค้างก็ช่วยเช่นกัน

อ้างอิงจาก

On Being
198Article
0Video
0Blog