ไม่พบผลการค้นหา
นครโอ๊คแลนด์ นอกจากเป็นเมืองน่าอยู่อันดับหนึ่งของโลกในปีนี้แล้ว ยังเป็นเมืองค่าครองชีพโดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แพงสุดเมืองหนึ่งของโลกด้วย ด้านนักวิชาการท้องถิ่นมอง แม้ 'น่าอยู่' แต่ "ขาดสีสันไร้ชีวิตชีวา"

ผลการสำรวจโดยดิอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (อีไอยู) ซึ่งเผยอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก (Most livable cities) ประจำปี 2021 ที่พบว่า นครโอ๊คแลนด์ ของประเทศนิวซีแลนด์ ได้โค่นแชมป์เก่าอย่าง กรุงเวียนนา ของประเทศออสเตรีย ที่เคยรั้งตำแหน่งเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกมานานหลายสมัย กลายเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปีนี้

ดิอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (EIU) ซึ่งใช้เกณฑ์การประเมินเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกภายใต้ 5 ตัวชี้วัด ได้แก่ เสถียรภาพ, สาธารณสุข, การศึกษา, โครงสร้างพื้นฐาน, วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ให้เหตุผลว่า ผลจากการควบคุมการระบาดของเชื้อโควิด-19 ของนิวซีแลนด์ผ่านการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด ประกอบกับถึงลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเกาะแยกตัวจากประเทศอื่น ถือเป็นส่วนสนับสนุนให้เมืองโอ๊คแลนด์ และกรุงเวลลิงตัน ของนิวซีแลนด์ สามารถติดอยู่ใน 2 จาก 10 เมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกได้ในปีนี้ โดยในที่ผ่านมานครโอ๊คแลนด์แม้จะไม่ได้อยู่ในอันดับหนึ่งของเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก แต่ก็ติดหนึ่งในสิบของการจัดอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกเช่นกัน

นิวซีแลนด์ โอ๊คแลนด์

แม้นครโอ๊คแลนด์จะเป็นหนึ่งในเมืองที่น่าอยู่อาศัยอันดับต้นๆ ของโลก แต่กลับพบว่าค่าครองชีพของเมืองนี้หลายประการกลับมีราคาสูงกว่าเมืองอื่นใน 10 อันดับของเมืองน่าอยู่ หนึ่งในนั้นคือเครื่องดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภท 'เบียร์' ที่มีราคาสูงกว่าหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก 

ชาวเมืองโอ๊คแลนด์ต้องจ่ายราคาเบียร์หนึ่งไพน์มากกว่านักดื่มในกลุ่มประเทศเครือจักรภพด้วยกันอย่าง นครซิดนีย์ ของออสเตรเลีย หรือในกรุงลอนดอน ของอังกฤษเสียอีก จากข้อมูลของ Finder เว็บไซต์เปรียบเทียบราคาเบียร์หนึ่งไพน์ทั่วโลกในปีนี้พบว่า เบียร์หนึ่งแก้วไพน์ในโอ๊คแลนด์ราคาเฉลี่ย 11.10 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (ราว 246 บาท) เมื่อเทียบกับเบียร์ขนาดเดียวกันที่ขายในลอนดอนที่ถูกกว่าเล็กน้อย 10.93 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (ราว 242 บาท) แต่ก็ยังถูกกว่าเบียร์ที่ขายในกรุงปารีสของฝรั่งเศสเล็กน้อยราว 60 เซ็นต์ เบียร์หนึ่งไพน์ที่ปารีสราคาราว 11.71 ดอลลาร์ (ราว 260 บาท) 

หากเทียบกับหลายๆ เมืองในระดับสากล โอ๊คแลนด์เป็นเมืองที่ราคาเบียรต่อไพน์เฉลี่ยแล้วแพงที่สุดอันดับ 12 ของโลก แถมหากเทียบกับข้อมูลในหลายๆ ปีก่อนหน้านักดื่มต้องจ่ายเพิ่มมาขึ้นทุกเกือบทุกปี ย้อนไปเมื่อปี 2561 เบียร์ในโอ๊คแลนด์หนึ่งไพน์เฉลี่ยที่ 9.05 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (200 บาท) อยู่ในอันดับที่ 24 ของโลก จากการสำรวจของ Finder ซึ่งวิเคราะห์ต้นทุนเฉลี่ยของเบียร์หนึ่งแก้วใน 177 ประเทศและเมืองทั่วโลกพบว่า ชาวกีวีจ่ายเงินค่าเบียร์มากกว่านักดื่มชาติอื่นๆ ราว 10 เท่า 

หากแยกออกเป็นเมืองต่างๆ ในนิวซีแลนด์จะพบว่า นครโอ๊คแลนด์ขายเบียร์ต่อแก้วแพงที่สุดในประเทศ รองลงมาคือกรุงเวลลิงตัน เมืองหลวงที่ 10.05 ดอลลาร์ต่อไพนต์ ขณะที่เมืองเล็กๆ อย่างเนเพียร์ และดะนีดิน ราคาเบียร์ต่อแก้วถูกสุดที่ 9.06 ดอลลาร์และ 9.77 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเบียร์ในโอ๊คแลนด์อาจมีราคาแพง แต่หากเทียบประเทศอื่นอย่างนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์จ่ายราคาเบียร์ต่อแก้วอาจสูงได้ถึง 19.36 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ในไนท์คลับบางแห่งของเมือง ขณะที่จากข้อมูลของเว็บเปรียบเทียบค่าครองชีพทั่วโลกอย่าง Numbeo พบว่าราคาเบียร์ขนาด 500 มิลลิลิตรในดูไบเฉลี่ยที่ 17 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ ตามด้วยเบียร์ในกรุงโดฮาของกาตาร์ และกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ 

เควิน แมคฮิวจ์ ทีมสำรวจค่าครองชีพของเว็บ Finder ประจำนิวซีแลนด์เผยกับสื่อท้องถิ่นว่า "นครโอ๊คแลนด์มีชื่อเสียงในแง่ค่าครองชีพสูงอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงด้านอสังหาริมทรัพย์ เวลลิงตันเป็นเมืองที่เบียร์ราคาระดับกลาง ขณะที่เมืองดะนีดินและเนเปียร์ขายเบียร์ถูกสุดของประเทศ อย่างน้อยยังเป็นข่าวดีสำหรับนักดื่มในเมืองเหล่านี้"

นิวซีแลนด์ โอ๊คแลนด์

ผู้จัดการบาร์แห่งหนึ่งในย่านพอนซอนบีย์ (Ponsonby) ใจกลางเมืองโอ๊คแลนด์เผยกับสื่อท้องถิ่นโดยเชื่อว่า การแข่งขันของคราฟต์เบียร์อาจมีส่วนรับผิดชอบในราคาเบียร์หนึ่งแก้วในโอ๊คแลนด์ที่แพงขึ้น ด้วยราคาระหว่างคราฟต์เบียร์กับเบียร์ทั่วไปต่อหนึ่งไพน์ที่ไม่ต่างกันมากเพียง 2-3 ดอลลาร์ ทำให้นักดื่มหันไปดื่มคราฟต์เบียร์มากกว่า วัฒนธรรมการดื่มของชาวนิวซีแลนด์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาสูงเช่นกัน หากเทียบกับชาติเพื่อนบ้านอย่างออสเตรเลีย ผับต่างๆ ในหลายเมืองทั่วประเทศต่างคราคร่ำด้วยผู้คนในแทบทุกคืนตลอดสัปดาห์ ขณะที่ในนิวซีแลนด์ผู้คนมักนิยมไปดื่มสังสรรค์เฉพาะช่วงวันศุกร์และวันเสาร์เท่านั้น

แดเนียล ชอว์ นักดื่มรายหนึ่งเผยว่า เขายินดีที่จะจ่ายเพิ่มหากได้รื่นรมย์กับเบียร์ที่มีคุณภาพดีกว่า "ในนิวซีแลนด์คุณสามารถหาเบียร์คุณภาพดีได้มากมาย เพราะมีคราฟต์เบียร์ที่หลากหลาย" เขาเชื่อว่าเบียร์ราคาถูกยังคงขายได้หากผู้คนต้องการซื้อเบียร์คุณภาพรองลงไป ชอว์ยังมองอีกว่าด้วยประชากรอันน้อยนิดของนิวซีแลนด์ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เบียร์ราคาถูกลง

นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่มีประชากรราวเกือบ 5 ล้านคน ขณะที่พลเมืองในนครโอ๊คแลนด์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่สุดของประเทศมีเพียงราว 1.6 ล้านคน จึงแปลกที่หากหน่วยงานท้องถิ่นจะหารายได้เข้ารัฐเพิ่มด้วยการเก็บภาษีจากเครื่องดื่มเหล่านี้ในอัตราที่สูงขึ้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ขายในนิวซีแลนด์จะมีการเก็บภาษีสองชนิดคือ ภาษีสินค้าและบริการ (GST) และภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นิวซีแลนด์ โอ๊คแลนด์

จากข้อมูลของหน่วยงานสรรพสามิตนิวซีแลนด์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคมปีที่ผ่านมา กำหนดให้เก็บภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ขึ้นต้นที่ 45.929 เซ็นต์ต่อลิตร (100 เซ็นต์เท่ากับ 1 ดอลลาร์นิวซีแลนด์) ซึ่งอัตราภาษีนี้จะขึ้นอยู่กับปริมาณแอลกอฮอล์ตามปริมาตร (ABV) ของเครื่องดื่มแต่ละชนิดด้วย นี่ยังไม่นับรวมภาษีสินค้าและบริการ (GST) ซึ่งมีอัตราเก็บสูงสุดราว 15% 

ที่ผ่านมานิวซีแลนด์ซึ่งเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 จนต้องล็อกดาวน์เมืองไปหลายต่อหลายครั้ง ส่งผลให้บรรดาผู้ประกอบการร้านผับบาร์ ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลลดการเก็บภาษีสรรพสามิตเบียร์ลดลงครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยบาร์เหมือนเช่นที่สหราชอาณาจักร หรือออสเตรเลีย ลดภาษีดังกล่าวเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนออกมาสังสรรค์พร้อมช่วยกิจการของผู้ประกอบการไปในตัว


แม้น่าอยู่แต่ "ขาดสีสันไร้ชีวิตชีวา" 

ย้อนกลับมาเรื่องการที่โอ๊คแลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปีนี้ ทว่าความคิดเห็นจากผู้คนที่อาศัยในเมืองกลับมองว่า โอ๊คแลนด์แม้เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม แต่กลับไร้สีสันและไร้ชีวิตชีวาไม่เหมือนกับเมืองอื่นของโลก

ลอร์นา ธอร์นเบอร์ ผู้สื่อข่าวสายท่องเที่ยวประจำเว็บไซต์ Stuff.nz ให้ความเห็นของเธอเกี่ยวกับการที่โอ๊คแลนด์ถูกจัดเป็นเมืองน่าอยู่ว่า แม้เป็นเมืองน่าอยู่แต่อัตราค่าครองชีพถือว่าแพงมาก บางวันเธอต้องใช้เวลาบนท้องถนนเกือบ 90 นาที ในการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะหลายต่อ ไปกลับระหว่างแฟลตที่พักย่านชานเมืองกับที่ทำงานย่านใจกลางเมือง

เธอระบุในบทความอย่างติดตลกว่า เธออาจต้องลงทุนในบิตคอยน์หรือเงินเงินดิจิทัลที่ยังเฟื่องฟูเพื่อให้มีเงินมากพอที่จะซื้ออพาร์ตเมนต์สักห้องในย่านใจกลางเมือง แม้จะต้องเสียเวลาในการเดินทาง กับค่าครองชีพอันแสนแพง แต่ธอร์นเบอร์ยังรู้สึกมีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองนี้ นักข่าวสาวอธิบายว่า ความสามารถในการสกัดโรคระบาดไม่ใช่ทั้งหมดของโอ๊คแลนด์ เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติอันสวยงามและไม่เหมือนกับที่ใดบนโลก ท่าเรือ Waitemata, One Tree Hill, เกาะไวเฮเก Waiheke Island ภูเขาอีเดน (Mount Eden), เกาะไวฮีกิ (Waiheke Island) "เมืองใดในโลกที่สามารถแข่งขันกับสิ่งเหล่านี้ได้?" 

ขณะที่ แมตต์ ลอว์รีย์ บรรณาธิการ Greater Auckland เว็บบล็อกเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ในโอ๊คแลนด์มองว่า แม้เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม แต่ยังโอ๊คแลนด์ยังคงประสบปัญหาที่ต้องแก้ไขสามประการคือ ราคาอสังหาฯที่ยังแพงและผู้คนต้องการบ้านที่มากขึ้น การขนส่งสาธารณะที่ดีขึ้น และพื้นที่ส่วนกลางและพื้นที่สีเขียวที่มากขึ้นเช่นกัน

"เป็นเรื่องน่าขำที่แม้แต่แรงงานมีทักษะที่ทำงานเต็มเวลาก็ยังมีปัญหาในการเก็บเงินในเมืองนี้ เครือข่ายการขนส่งสาธารณะที่จำกัดทำให้พวกเราหลายคนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขับรถไปทำงาน และต้องใช้เวลาอีกกี่ปีสำหรับหน่วยงานท้องถิ่นในการสร้างอุโมงค์สำหรับขนระบบขนส่ง" 

นิวซีแลนด์ โอ๊คแลนด์

อย่างไรก็ตามลอว์รีย์มองว่า ความเป็นเมืองน่าอยู่ ไม่ได้มีแค่โครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัฒนธรรมในแง่ต่างๆ ของท้องถิ่นด้วย อาทิ ความบันเทิง ร้านกาแฟ บาร์ ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ และร้านค้ามากมาย รวมถึงผู้คนที่อาศัย 'โอ๊คแลนด์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหนึ่งที่มีความหลากหลายที่สุดในโลก เมืองแห่งนี้เปิดรับผู้คนในทุกเชื้อชาติทุกภูมิหลัง ผู้คนที่เป็นมิตรทำให้เมืองมีความน่าสนใจและน่าอยู่มากขึ้น แม้ในแง่โครงสร้างพื้นฐานของเมืองยังคงต้องได้รับการพัฒนาอีกมาก

ตรงข้ามกับ โรเบิร์ต แมคคัลลอค นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ ที่มองการว่าการจัดอันดับให้โอ๊คแลนด์น่าอยู่ที่สุดในโลกนั้นเป็นเรื่อง “ไร้สาระไร้ความหมาย” นักวิชาการผู้นี้ให้ความเห็นว่า โอ๊คแลนด์แม้เป็นเมืองใหญ่สุดของประเทศแต่กลับขาดชีวิตชีวาและสีสันอย่างมากเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่อื่นๆ ทั่วโลก มหานครนิวยอร์กมักมีสิ่งใหม่ที่น่าสนใจเกิดขึ้นเสมอ เช่นเดียวกับลอนดอน ไม่ว่าเราต้องการสิ่งนั้นหรือไม่ แต่สิ่งใหม่ๆ หรือไอเดียใหม่ๆ เหล่านี้ล้วนขับเคลื่อนความเป็นเมือง

"วิกฤตราคาที่อยู่อาศัยของโอ๊คแลนด์ การจราจรแออัด โครงสร้างพื้นฐานที่อ่อนแอ และสิ่งปฏิกูลที่ไหลเข้าสู่ท่าเรือเมื่อมีฝนตกหนัก แม้ว่า EIU เลือกที่จะให้เมืองนี้เป็นเมืองน่าอยู่อันดับต้นๆ ก็ตาม แต่ไวรัสไม่ได้อยู่แค่ที่ท่าเรือ"

ปกติแล้ว EIU มักใช้เกณฑ์การประเมิน 5 ตัวชี้วัดหลัก ได้แก่ เสถียรภาพ, สาธารณสุข, การศึกษา, โครงสร้างพื้นฐาน, วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม แต่ปีนี้ได้เพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือโควิด-19 เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งประเมินว่าแต่ละเมืองรับมือกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในสถานพยาบาลอย่างไร และมีมาตรการปิดหรือจำกัดความจุสำหรับโรงเรียน ร้านอาหาร และสถานที่ทางวัฒนธรรมอย่างไรเข้ามาประเมินร่วมด้วย

อุปซานา ดัตต์ หัวหน้าฝ่ายประเมินความน่าอยู่ทั่วโลกของ EIU กล่าวว่านิวซีแลนด์จัดการกับโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถยกเลิกข้อจำกัดด้านวัฒนธรรมและความบันเทิง เช่น ร้านอาหาร บาร์ โรงละคร และการแข่งขันกีฬา ขณะที่เมืองอื่นๆ ยังคงมาตรการล็อกดาวน์ต่อไป

"ในแง่ของโครงสร้างพื้นฐาน โอ๊คแลนด์มีคะแนนต่ำกว่าเมืองอื่น ๆ ใน 10 อันดับแรก แต่คะแนนด้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่สูง และการควบคุมการระบาดใหญ่ได้ผลักดันให้เมืองนี้อยู่ในอันดับหนึ่งของการจัดอันดับในปีนี้"

อย่างไรก็ตาม แมคคัลลอค มองว่า EIU ควรคำนึงถึงอัตราของนวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการมากขึ้นเข้ามาเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดของเมืองด้วย "จุดประสงค์ของเมืองไม่ใช่เพื่อมาพักผ่อนและชมวิวตลอดทั้งวัน หรือตื่นตาตื่นใจกับความ 'น่าอยู่' ของเมือง นครนิวยอร์คแม้เป็นเมืองอันวุ่นวาย เช่นเดียวกับลอนดอน แต่กลับมีศักยภาพในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและความเป็นผู้ประกอบการมากกว่าเมืองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบอย่างโอ๊คแลนด์

ที่มา: CustomsNZ , CustomsNZ1 , StuffNZ , StuffNZ1 , StuffNZ2 , StuffNZ3 , ActionpointNZ