ไม่พบผลการค้นหา
ผลสำรวจมาตรการป้องกันตัวจากโควิดของประชาชนปลายเดือน พ.ค. พบว่าทำได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากสถิติเดิมที่เริ่มการ์ดตกช่วงก่อนหน้านี้ ชี้เหตุผลที่คลายความระมัดระวังลงเพราะส่วนใหญ่คิดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีขึ้นแล้ว

กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) ร่วมกับองค์การอนามัยโลก สำนักงานภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานสถิติแห่งชาติ ทำการสำรวจการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ ระหว่างวันที่ 22-28 พ.ค. 2563 โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจ 25,623 ราย พบว่า

ประชาชนมีพฤติกรรมป้องกันตนเองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าซึ่งการ์ดตก โดยในส่วนของการใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลา สามารถปฏิบัติได้ร้อยละ 91.5 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า (15-21 พ.ค. 2563) ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 87.2 การล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ ปฏิบัติได้ร้อยละ 83.2 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 79.8

ขณะที่กินอาหารร้อนและใช้ช้อนกลางของตนเอง สัปดาห์ก่อนหน้าปฏิบัติได้ร้อยละ 79.7 แต่สัปดาห์ต่อมาเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 82.7 การระวังไม่อยู่ใกล้คนอื่นในระยะน้อยกว่า 2 เมตร เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 58.7 เป็นร้อยละ 65.2 การระวังไม่เอามือจับหน้า จมูก ปาก เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 53.7 เป็นร้อยละ 56.9 ทำให้พฤติกรรมป้องกันตนเองในภาพรวมของประชาชนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 70.6 เป็นร้อยละ 74.8

สำหรับสาเหตุที่ก่อนหน้านี้ประชาชนคลายพฤติกรรมการป้องกันตัวเองลงนั้น กว่าร้อยละ 57.4 ตอบว่าเนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีขึ้น อีกร้อยละ 36.6 ตอบว่ารู้สึกว่าตัวเองมีความเสี่ยงในการติดเชื้อต่ำ และอีกร้อยละ 28.4 ให้เหตุผลว่ากิจวัตรประจำวันไม่เอื้ออำนวย

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบด้วยว่า กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 66.0 ไม่ได้อยู่บ้านตลอดเวลา และร้อยละ 55.3 ไม่สามารถเลือกทำงานที่บ้านได้ ต้องออกไปทำงานตามปกติ และอีกร้อยละ 29.6 ที่ทำงานจากบ้านได้เป็นบางวันหรือบางสัปดาห์ โดยมีเพียงร้อยละ 15.1 เท่านั้นที่สามารถทำงานจากที่บ้านทุกวัน

ขณะที่ภาพรวมการเดินทางออกนอกจังหวัดมีแนวโน้มลดลงจากร้อยละ 28.5 ในช่วงวันที่ 15-21 พ.ค. เป็นร้อยละ 23.6 ในช่วงวันที่ 22-28 พ.ค. โดยสาเหตุหลักที่ต้องออกนอกจังหวัดคือไปทำงานร้อยละ 48.6 และอีกร้อยละ 27.7 มีธุระจำเป็น

ทั้งนี้ กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 30.8 มองว่าควรให้เดินทางออกนอกจังหวัดได้อย่างอิสระ ยกเว้นจังหวัด/พื้นที่ที่ยังมีการติดเชื้อสูง อีกร้อยละ 27.7 อยากให้เดินทางได้อย่างอิสระโดยมีการลงทะเบียนติดตามตัว ส่วนอีกร้อยละ 19.8 มองว่าควรเดินทางได้อย่างอิสระ ยกเว้นจังหวัด/พื้นที่ที่ยังมีการติดเชื้อสูง โดยมีการลงทะเบียนติดตามตัว และมีอีกร้อยละ 16.5 ที่ยังอยากให้งด/ชะลอการเดินทางระหว่างจังหวัด

ในส่วนของการเดินทางเข้าประเทศนั้น กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 60.3 มองว่าสำหรับคนไทยควรให้เดินทางเข้าประเทศได้ แต่คัดกรองและกักกัน 14 วัน ใน state quarantine โดยมีอีกร้อยละ 28.4 ที่มองว่าไม่ควรอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ อีกร้อยละ 10.6 คิดว่าให้เดินทางเข้าประเทศได้ แต่คัดกรองและกักกัน 14 วัน ที่บ้าน/ที่พักอาศัย ขณะที่ในส่วนของชาวต่างชาตินั้นร้อยละ 63.3 มองว่าไม่ควรอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศไทย และอีกร้อยละ 30.9 มองว่าให้เดินทางเข้าประเทศได้ แต่คัดกรองและกักกัน 14 วัน ใน state quarantine

ขณะเดียวกัน ในส่วนของการเปิดกิจการ/กิจกรรมที่จำเป็น เช่น ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน มหาวิทยาลัย กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามยังมีความคิดเห็นที่แตกต่าง ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน คือ ควรให้ทำได้มากขึ้นร้อยละ 31.9 ควรให้ทำได้เท่าปัจจุบัน (22-28 พ.ค.) ร้อยละ 34.9 และควรกลับไปทำเหมือนเดือน เม.ย. ร้อยละ 33.1 แต่ในส่วนของกิจการ/กิจกรรมอื่นๆ เช่น โรงภาพยนตร์ นวดแผนโบราณ งานสังคม ผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าควรกลับไปทำเหมือนเดือน เม.ย. มากที่สุดร้อยละ 40.2 รองลงมาคือ ควรให้ทำได้เท่าปัจจุบัน (22-28 พ.ค.)ร้อยละ 35.8 และควรให้ทำได้มากขึ้นอีกร้อยละ 24