ไม่พบผลการค้นหา
สะท้อนปัญหาวิกฤติโควิิดจากมุมมองของคนทำอาชีพสัปเหร่อ พบคนไทยติด ร. 3 ตัว รอตรวจ รอเตียง และรอเตา 'ลุงต๋อย' เผยประสบการณ์เผาศพมา 30 กว่าปี เคสเผาศพต่อศพติดต่อเป็นเดือนแบบนี้เพิ่งเคยเจอ หวังรัฐ-เอกชน เร่งหาทางตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่ม พาผู้ป่วยไปรักษา ลดการจองคิวศาลาวัด

“ผมเป็นสัปเหร่อมา 30 กว่าปี เพิ่งเคยเผาศพต่อศพก็วันนี้ ที่เพิ่งโกยกระดูกออกมาคือศพที่ 47 เย็นนี้ก็จะเข้ามาอีกเป็น 48 พรุ่งนี้ก็มีคิวที่ 49 จองไว้อยู่”

ลุงต๋อย สุรเสกข์ เนื่องน้อย ฉายภาพให้เห็นถึงระดับของความวิกฤติโควิด-19 ในครั้งนี้จากชุดประสบการณ์ชีวิตของอาชีพสัปเหร่อ หลังจากเขาโกยเถ้ากระดูกออกจากเตาเผาศพ มาวางพักทิ้งไว้ เพื่อรอแยกกระดูกออกจากขี้เถ้าอื่นๆ รอให้ญาติมารับกลับ

ลุงต๋อย เริ่มเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ หรือจากที่ใช้แอคเคาท์เฟสบุ๊คที่ชื่อว่า “ผู้ควบคุมการเดินทาง ข้ามมิติ” โพสต์แสดงความเห็นด้วยตัวอักษรแบบพิมพ์ผิดๆ ถูกๆ แต่ก็อ่านได้ใจความว่า นั่นคือ ความหนักหนาสาหัสของอาชีพสัปเหร่อ ผู้เผชิญหน้ากับผู้ติดเชื้อโควิดในด่านสุดท้าย ซึ่งต้องทำงานต่อเนื่องศพต่อศพมาร่วมเดือน ทั้งยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค และยังขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันเชื้อในช่วงแรก

เรามีเวลาประมาณชั่วโมงกว่าเพื่อพูดคุยกับเขา ก่อนที่เขาจะต้องเตรียมฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อที่ศาลาเพื่อเตรียมรับศพต่อไป รวมทั้งญาติพี่น้องที่อาจจะมาส่งผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะไม่มีโอกาสได้ร่างที่ถูกบรรจุอยู่ในถุงซิปล็อค 2-3 ชั้น และถูกบรรจุอยู่ในโลงไม้สีขาวอีกชั้นก็ตาม

สัปเหร่อเผาศพโควิด_๒๑๐๗๑๙_1.jpg

ลุงต๋อยเป็นสัปเหร่อ อยู่ที่วัดสุทธาวาส(ใหม่ตาสุต) ในย่านธนบุรี มานาน 30 กว่าปี เขาเริ่มต้นจากการเข้ามาบวชเณรอยู่ที่วัดเมื่อปี 2527 ก่อนจะบวชเป็นพระในปี 2528 และกลายมาเป็นสัปเหร่อในปี 2529 เพราะระหว่างที่เป็นพระได้มีโอกาสช่วยเป็นสัปเหร่อให้กับศพผู้ยากไร้ที่ญาติไม่มีแม้แต่เงินที่จะซื้อโลง และหลังจากลาสิกขาแล้ว เขาก็ยังอยู่กับวัดทำหน้าที่ในพิธีศพตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 

อาชีพสัปเหร่อประจำวัดไม่ได้เป็นอาชีพที่มีเงินเดือนแน่นอน รายได้ที่ของพวกเขามาจากค่าแรงในการเผาศพ แม้ในหลายวัดมีการตั้งเรทค่าแรงที่แน่นอนไว้ แต่สำหรับลุงต๋อยเขาบอกว่าไม่เคยคิดค่าแรง ส่วนใหญ่ก็แล้วแต่ญาติจะให้ หรือถ้าเป็นคนจน คนไร้ญาติ เขาก็ยินดีทำให้โดยไม่มีเงินมาเกี่ยวข้องกับกาารตัดสินใจ 

ตลอดช่วงเวลา 30 กว่าปี เขาทำหน้าที่สัปเหร่อมาหลายร้อยครั้ง นั่นหมายความว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของประจักษ์พยานความตายมาไม่น้อย แน่นอนเขาผ่านช่วงเวลาแห่งการตายด้วยโรคเอดส์มาแล้ว แต่หากนำมาเทียบกับวิกฤติโรคติดเชื้อในเวลานี้ เขาใช้คำว่า “หนักกว่ามาก” 

“ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดอะไรแบบนี้ เคยเห็นแต่ตอนสึนามิ แต่ไอ้นี้มันหนัก มันน่ากลัวมาก ถึงกับไม่มีเตียงสนามแล้ว เต็มหมด แล้วเขาปล่อยให้มันเกิดแบบนี้กันมาได้ยังไง จริงๆ ควรจัดการให้ได้ตั้งแต่ทีแรก แต่ทำกันยังไงมันเป็นแบบนี้ ผมเป็นสัปเหร่อไม่ใช่เห็นคนตายเข้ามาเราจะดีใจได้งาน เห็นคนตายทุกวันดีใจศพมาเยอะ สัปเหร่อรวย ถามจริงๆ ผมเป็นคนเผาไม่ใช่ญาติก็จริง แต่มันสะเทือนใจ คนมันตายติดๆ กันทุกวันแบบนี้ รู้ว่ามันเกิดทั่วโลก แต่ถ้าสกัดมันดีๆ มันไม่มาถึงขนาดนี้”

ลุงต๋อยเล่าว่า ศพที่เพิ่งกลายเป็นกระดูกอยู่ในศาลาเป็นศพที่ 47 แต่หากเขาไม่ป่วยไปก่อนหน้านี้และหยุดงานไป 3 วันจำนวนคงขึ้นไปถึง 50 กว่าแล้ว ในตอนแรกเขาคิดว่าคงได้หยุดการทำงานไว้เพียงนี้ เพราะตัวเองยังไม่ได้รับวัคซีน จึงคิดว่าอาจจะติดเชื้อเนื่องจากมีอาการไข้ขึ้น ไอ เจ็บคอ แต่เมื่อโทรปรึกษาแพทย์ก็ทำให้เบาใจ และคิดว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา เพราะยังได้กลิ่น รับรู้รสตามปกติ พอได้ยาแก้ไข้มากินก็หายกลับมาทำงานต่อได้ 

มากกว่าเรื่องของจำนวน ลุงต๋อย ยังสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวของผู้คนที่ไม่ได้มีค่าเพียงแค่จำนวนนับ เขาเล่าว่า ผู้เสียชีวิตจากโควิดที่เข้ามาที่วัดมีทั้งคนมีมาก คนมีน้อย และคนไม่มีเลย แต่ฐานะทางเศรษฐกิจก็ไม่ได้มีผลที่จะทำให้การเผาศพมีความแตกต่างกัน เพราะเมื่อศพมาถึงศาลาจะมีเวลาเพียง 1-2 ชั่วโมงสำหรับการสวดบังสุกุล โดยจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมพิธีสวดอนุญาตเพียงกลุ่มญาติพี่น้องไม่กี่คนเท่านั้น 

ความแตกต่างจะอยู่ตรงที่การร่ำลาครั้งสุดท้ายเท่านั้น เขาเล่าว่า มีหลายศพที่ไม่มีญาติมาส่ง ทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจ และบางรายกลุ่มญาติก็เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัว ฉะนั้นการได้กลับมาเจอกันอีกครั้งก็ทำได้เพียงมองเถ้ากระดูกที่เหลือจากการเผาเพียงเท่านั้น แต่ที่มากไปกว่านั้นบางรายไม่มีญาติมาส่ง และไม่มีทั้งญาติที่กลับมารับกระดูกกลับไป ลุงต๋อยพูดด้วยท่าทีจริงจัง ส่วนที่ไม่มีญาติมารับกลับ เขาก็จะนำกระดูกไปลอยอังคารให้ แต่คงต้องรอให้หน้างานเบาลงก่อน ซึ่งเขาไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่ 

สัปเหร่อ(เพิ่ม)_๒๑๐๗๑๙_5.jpg

ปัญหาการจัดการศพผู้ติดเชื้อ : วัดกลัว รัฐไม่สร้างความเข้าใจ ไร้การสนับสนุนด่านสุดท้าย

ระหว่างที่พูดคุย ลุงต๋อย ช่วยชี้ให้เห็นถึงปัญหาคอขวดในการจัดการศพโควิดไว้อย่างสนใจ แรกสุดหากพูดกันด้วยสถิติเปรียบเทียบสัดส่วนระหว่างผู้เสียชีวิตจากโควิด กับจำนวนวัดที่มีทั้งหมดในประเทศไทยสี่หมื่นกว่าวัด เป็นไปไม่ได้เลยที่ศพผู้ติดเชื้อโควิดจะไม่มีที่เผา ลุงต๋อย เชื่อว่าอาการคอขวดนี้เกิดจาก 2 ส่วนด้วยกันคือ หนึ่งความกลัวของพระ เขาเชื่อว่ายังมีวัดอีกมากที่มีศักยภาพในการเผาศพผู้ติดเชื้อโควิด แต่กลับเลือกที่จะปฏิเสธ อย่างไรก็ตามเขาเห็นว่่าวัดไม่ควรที่จะปฎิเสธ เพราะถึงที่สุดแล้ววัดทุกวัดล้วนเกิดจากการบริจาคของประชาชน วัดจึงมีหน้าที่ตอบสนองต่อประชาชน

“ผมเนี่ยจบ ป.4 ผมยังคิดได้เลยว่า วัดมันไม่ใช่ของใครคนไหน มันเป็นของประชาชนทุกคน อย่างเมรุ เตานี่ก็ไม่ใช่ของผม มันก็เงินพวกเขาทั้งนั้น เตาพังมามันก็เงินพวกเขาบริจาคซ่อมแซม ทำไมเวลาเขาตายไม่เผาให้เขา”

สอง ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ลุงต๋อย คิดว่าการเข้ามาสร้างความเข้าใจเพื่อจัดการกับความกลัวจากหน่วยงานของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องยังมีไม่เพียงพอ ประกอบการสนับสนุนทั้งในเรื่องอุปกรณ์ และการฉีดวัคซีนให้กับคนทำหน้าที่สัปเหร่อที่ล่าช้าเกินไป หรือพูดให้ง่ายคือ รัฐไม่ได้จัดการทรัพยากรเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ลักษณะนี้ได้ดีเท่าที่ควร

“ทางหน่วยงานรัฐต้องเข้าไปดูเขาด้วยสัปเหร่อน่ะ ด่านสุดท้ายนี้ต้องดูเข้าด้วยไม่ใช้ทิ้งชีวิตเขาเหมือนหมู เหมือนหมา ติดก็ตายไป มึงอยากจะเผานี่ มึงเสือกเผาเอง หน่วยงานต้องเข้าไปดูด้วย ไปชี้แแจ้งเขา เขาฉีควัคฉีนหรือยัง เขามีเครื่องป้องกันไหม ถ้าเขาติดเขาตาย แล้วลูกเมียอีกล่ะ สัปเหร่อส่วนใหญ่เป็นคนจนนะไม่ใช่คนรวย มันต้องช่วยกัน แล้วนี่ถ้าเรื่องไม่ไปถึงสื่อไม่มีใครรู้หรอกว่าชีวิตคนที่อยู่ด่านสุดท้ายเป็นยังไง”

สัปเหร่อ(เพิ่ม)_๒๑๐๗๑๙_3.jpgสัปเหร่อ(เพิ่ม)_๒๑๐๗๑๙_2.jpg

วอน ‘รัฐ-เอกชน’ ให้พื้นที่ตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่ม นำผู้ป่วยเข้าระบบ ลดคิวจองศาลาวัด

ด้วยความรู้ระดับชั้นประถมศึกษา 4 กับชุดประสบการณ์ชีวิตอาชีพสัปเหร่อ ลุงต๋อย มองว่า แนวทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีที่สุดในเวลานี้เพื่อหยุดยั้งจำนวนผู้เสียชีวิตให้ได้มาที่สุดคือ การเปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม เพื่อทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้ทันเวลา อย่างน้อยที่สุดนี่ก็เป็นวิธีที่จะทำให้งานเผาศพของเขาลดปริมาณลง

“ร้านขายข้าวตรงนั้น ก็บอกมีหลานที่ติดโควิดนอนรอยังไม่มีเตียง หลานคนรู้จักอีกคนก็ติดโควิดนอนอยู่คอนโดไม่มีใครไปช่วย เริ่มหายใจลำบากไม่มีถังอ๊อกซิเจน ผมเห็นเขามาตั้งแต่เด็ก กะว่าวันนั้นเผาตรงนี้เสร็จจะไปหาซื้อถังอ๊อกซิเจนให้เขา แต่ก็โชคดีที่ทางคอนโดเขาหาเครื่องอ๊อกซิเจนให้ได้ก่อน ก็รอดไป”

“ตอนนี้ผมอยากให้หน่วยงานทุกหน่วยงานออกมาช่วยกันพาคนป่วยหาที่รักษา ทำไมประเทศไทยมันมีทีแค่ตรงนั้นเหรอที่จะทำโรงพยาบาลสนาม ที่กว้างๆ มีตั้งเยอะจะเก็บไว้ทำไมละครับ เก็บไว้ให้ขับรถผ่านแล้วดูเฉยๆ เหรอ มันมีอีกหลายที่ ถ้าลานวัดนี้ทำได้ผมก็อยากให้ทำไปแล้ว แต่วัดเรามีพื้นที่น้อยแค่ 3 ไร่ ไอ้คนที่มีมันมีที่เป็นร้อยไร่ พันไร่ ก็ช่วยกันหน่อย ที่ของหลวงก็เหมือนกันตรงไหนก็ได้ ช่วยกันชีวิตประชาชนก่อน เพราะตอนนี้ตรวจเจอก็ไม่มีเตียง แล้วสุดท้ายมันมาจบที่ไหนละ ก็มาจบที่สัปเหร่อที่ไม่รู้หนังสือหนังหาอย่างเรา”

“ผมรู้ผู้หลักผู้ใหญ่ก็คงเหนื่อย โดนด่ากันทุกวัน แต่หายาดีๆ (วัคซีน) เข้ามาเถอะ ไอ้เงินน่ะผมไม่อยากได้เหรอ ทุกคนเข้าอย่างได้ยาที่มันดีๆ อย่างผมนี่กว่าจะได้ฉีดก็ต้องรอคิวถึงวันที่ 30 (ก.ค.) แต่อันนี้มีคนเข้ามาช่วยนะ ถ้าไม่มีผมก็ยังไม่ได้คิวหรอก ก็ต้องอยู่อย่างนี่แหละ ชีวิตคาบอยู่บนเส้นด้าย พลาดเมื่อไหร่ก็ตาย”