ไม่พบผลการค้นหา
“กูอยู่คนเดียวไม่เปลี่ยวใจ เพราะกูไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว กูก็เเค่อยู่คนเดียว กูใช้ชีวิตอยู่ในความเปลี่ยวอันคลาคล่ำหนาเเน่น เป็นความยุ่งเหยิงแห่งอนันตภาพ เเละนิรันดรภาพ” – ข้อความจากวรรณกรรมภาษาเชกเรื่อง ‘ความเปลี่ยวดายอันกึกก้องเกินต้าน’

แล้วคุณล่ะ ชื่นชอบการทำอะไรด้วยตัวเองคนเดียวเหมือนกับ ‘ฮัญจา’ คนงานทำลายหนังสือเก่าคร่ำคร่า ตัวละครหลักใน ‘ความเปลี่ยวดายอันกึกก้องเกินต้าน’ หรือเปล่า? ถ้าใช่ ถ้าชอบ คุณต้องทราบแน่ๆ ว่าความโดดเดียวจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องน่าหวาดหวั่น และเป็นสิ่งธรรมดาสามัญของชีวิต

บางครั้ง คุณอาจหมั่นไส้เพื่อนที่ชอบอวดผัว เบื่อหน่อยกับการเข้าสังคม รำคาญคนเยอะๆ และอยากปลีกตัวไปทำอะไรคนเดียวเพียงลำพัง ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องผิดแปลก เพราะการประชุมเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ก็เพิ่งรายงานออกมาว่า

คนโสดแดนกิมจิจำนวนมากปฏิเสธการเข้าสังคม โดยสาเหตุหลักๆ มาจากความเหนื่อยล้า และการต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันต่างๆ ท่ามกลางบรรยากาศการทำงานสุดแสนวุ่นวาย

นั่นส่งผลให้ธุรกิจบริการหลายเจ้า เช่น ภัตตาคาร บาร์ โรงแรม ท่องเที่ยว แต่งงาน ฯลฯ ต่างหันมาตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคไร้คู่ในศตวรรษที่ 21 เพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกประหม่า ขวยเขิน เปลี่ยวดาย หรือถูกมองเป็นตัวประหลาดที่เพื่อนไม่คบ และที่สำคัญคือ การเติบโตของไลฟ์สไตล์โดดเดี่ยวไม่เดียวดายดูเหมือนจะขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จนหลายเมืองใหญ่ทั่วโลกต่างตอบรับกระแสกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น นิวยอร์ก ลาสเวกัส ชิคาโก ลอนดอน ปารีส อัมสเตอร์ดัม และโตเกียว เป็นต้น

แม้มนุษย์ถูกสร้างมาเป็นสัตว์สังคม แต่บางครั้งหลายคนก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัว และความอิสระเสรีบนโลกใบใหญ่ ดังนั้น คงต้องยอมรับกันตรงๆ ว่ามันมีเหตุผลอยู่หลายประการผลักดันให้คนรุ่นมิลเลนเนียลหันมาหลงรักการกิน ดื่ม เที่ยว คนเดียวมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจ อุปสงค์ทางธุรกิจท่องเที่ยว และตัวเลขการเติบโตของประชากร แต่สำคัญสุดคงเป็นค่านิยมหวงแหนความโสด รักสันโดษ และระมัดระวัง (หรือเรื่องมาก) กับการเลือกคู่ครอง จนเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นเลยคิดว่า การใช้ชีวิตคนเดียวมันเวิร์กสุดๆ

บวกกับการต่อต้านทัศนคติเก่าๆ ที่ชอบมองคนอยู่คนเดียวว่า ไม่มีเพื่อนคบ ทำให้คนรักการใช้ชีวิตสันโดษพยายามแสดงให้โลกเห็นว่า กิจกรรมทางสังคมสามารถกระทำคนเดียวโดดๆ ได้ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไม่ใช่ความหงอยเหงา ไม่ใช่ไม่มีเพื่อนคบ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้นิยมชมชอบการอยู่คนเดียวมักบอกคล้ายๆ กันว่า มันทำให้พวกเขารู้สึกเปี่ยมด้วยความหวัง ความท้าทาย และความสุขในชีวิตหลายๆ ด้าน ดังนี้

1. สามารถวางแผนชีวิตตามตารางของตัวเอง | เป็นมารยาททั่วไปของการอยู่ร่วมความสัมพันธ์ที่คนสองคนต้องมาร่วมหัวจมท้ายกันตัดสินใจ นั่นหมายความว่า ชีวิตคนคู่ต้องตกอยู่ในสภาพทนรอการอนุมัติไปเสียทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่คุณก็ไม่มีทางรู้หรอกว่า ชีวิตแต่ละวันต้องพบเจอกับอะไรบ้าง แต่ปัญหาเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นกับคนที่ชื่นชอบการอยู่คนเดียวเลยสักนิด เนื่องจากชีวิตโดดเดี่ยวไม่มีมารมาคอยขัดขวางทางความคิด หรือปิดทางความเจริญของคุณได้

อย่าลืมว่าทุกอย่างในชีวิตควรขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง ดังนั้น การอยู่ตัวคนเดียวจะช่วยให้คุณนำโครงการที่เคยวางแผนไว้ออกมาตัดสินใจใหม่ได้อีกครั้งโดยไม่ต้องรอหารือกับใครหน้าไหน ไม่ว่าจะเป็นการชอปปิง ออกเดินทางท่องเที่ยว ปาร์ตี้เซ็กซี่สะเด็ด รวมไปถึงเวลากลับบ้านเลตก็จะไม่มีเสียงใครมาบ่น นั่นก็นับเป็นความสุขอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าลองอยู่เหมือนกัน

2. เป็นหนทางการประหยัดเงินขั้นเทพ | การครองตนเป็นคนไร้คู่แห่งศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่หลายคนคิด ลองคิดดูว่ามันจะดีแค่ไหนที่คุณสามารถใช้เงินได้อย่างอิสระตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ไม่ต้องเหนื่อยกับภาระการเลี้ยงลูก หรือดูแลคู่ครองให้ยุ่งยาก ทุกวันนี้มีคนโสดที่รักคานทองยิ่งชีพจำนวนไม่น้อยกำลังมีความสุขอยู่บนกองเงินกองทอง หรือกระทั่งบางคนก็ยังมีความมั่นคงทางการเงินมากกว่าคู่รักบางคู่เสียอีก

อย่างไรก็ตาม ถ้าคิดว่าจะขึ้นคานทองอย่างมีศักดิ์ศรีอย่าไปหวังให้ใครมาเลี้ยงดู คุณต้องวางแผนทางการเงินอย่างเฉียบขาด โดยพยายามเร่งมือเก็บออมตั้งแต่วันนี้ พร้อมเรียนรู้วิธีการทำเงินให้งอกเงยทันใช้ในบั้นปลายชีวิต แม้ว่าการยืนด้วยลำแข้งของตัวเองมันจะเหนื่อย แต่ก็ต้องเริ่มกันตั้งแต่ตอนมีกำลังทำงานหาเงินนี่แหละ

3. แสวงหาสิ่งใหม่ที่สนใจทำได้ไม่รู้จบ | เวลาอยู่ลำพังคนเดียวคุณจะรู้สึกเหมือนชีวิตไร้จุดหมาย แต่ในความเป็นจริงแล้วคนโสดร่วมสมัยส่วนใหญ่เขาชื่นชอบที่จะวางแผนชีวิต และคิดหน้าคิดหลังอยู่มากโขนัก เพราะมันเปรียบเหมือนช่วงเวลาแห่งการปฏิวัติตัวเองแบบสุดโต่ง การใช้ชีวิตคนเดียวจะทำให้คุณอิ่มเอมเปรมปรีดิ์กับเสรีภาพทุกตารางนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นการหันมาให้เวลาตัวเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่มากขึ้น เช่น ออกท่องราตรี ชื่นชมธรรมชาติ ดูแลสุขภาพ อ่านหนังสือ ทำอาหารด้วยตัวเอง หรือบ้างก็ลากยาวไปถึงออกเดตกับคนอื่นไปเรื่อย ซึ่งมันจะช่วยเผยให้เห็นพื้นที่ของชีวิตที่คุณสร้างขึ้นมา แล้วคุณจะรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต

4. มีความมุ่งมั่นมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ | เคยเป็นไหมเวลาคุณมีคู่จะอ่านหนังสือไม่ถึงไหน ทำงานช้าลง หรือแทบไม่เคยออกไปพบเจอหน้าเพื่อนฝูงเลย ซึ่งมันค่อนข้างจะสวนทางกับการใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียวที่มักจะลงมือทำทุกอย่างด้วยความมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อไหร่ก็ตามที่ครองสถานะโสดคุณจะมีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด โดยจะมุ่งตรงไปหาเส้นชัยตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงก้าวสุดท้ายโดยไม่ย่อท้อ หรือถ้าจะพูดให้สวยงามตามสายธรรมะก็คือ เป็นการเปลี่ยนจากลักษณะของจิตฟุ้งซ่านกลายเป็นสมาธินั่นเอง ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่กำลังบอกว่า ชีวิตได้เติบโตขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว อนาคตคุณก็จะกลายเป็น Working Man & Woman แบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

5. กระตือรือร้นไร้ขีดจำกัด | เวลามีคู่ชีวิตคนเราจะจมจ่อมอยู่กับความเพ้อเจ้อ เวิ่นเว้อ ฝันเฟื่อง แตกต่างกับคนรุ่นใหม่ที่ชอบทำอะไรคนเดียวที่ร่างกายจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความกระตือรือร้นเหมือนเจ้าพายุที่ไม่เคยหยุดนิ่ง พวกเขามักเป็นคนเสพติดการทำงาน และใช้เวลาว่างหมดไปอย่างบ้าคลั่งแบบ Work Hard, Play Harder ซึ่งไม่มีใครหน้าไหนสามารถมากีดขวางความก้าวหน้าของคนกลุ่มนี้ได้เลย

6. ปลุกไฟความคิดสร้างสรรค์ให้ลุกโชน | หากกำลังรู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังหมดไฟ จงเลิกหมกตัวอยู่ในห้องที่มักจะทำให้ดีกรีความเหงาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วออกไปสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นกันดีกว่า เพราะว่ากันว่าบรรดาคนโสดเข้าไส้ทั้งหลายนั้นมักมีแนวคิดก้าวหน้า เข้มแข็งทุกทิศทาง มีเหตุผลในการโต้แย้ง และส่งผลกระทบในทางสร้างสรรค์แก่สังคมมากเลยทีเดียว

ดังนั้น ลองหาเวลาปัดฝุ่นมุมมองความคิดสร้างสรรค์ที่ซ่อนอยู่ในตัวเองให้หวนคืนมาอีกครั้ง หรือปลดปล่อยความคิดที่มีในหัวออกมาโลดแล่นในโลกแห่งความจริง แม้สิ่งที่ได้จะออกมาดูแปลกแหวกแนว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ความสำเร็จก็รออยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว

7. ยกเป้าหมายในชีวิตให้สูงขึ้นอีกระดับ | บางครั้งสิ่งที่ทำให้ชีวิตคู่ไม่ได้ก้าวไปไหนอาจเกิดจากการยึดติดอยู่กับกรอบเดิมที่เคยวางร่วมกันไว้ รวมไปถึงความสะดวกสบายที่ทำให้เคยชินจนไม่อยากขวนขวายที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป ซึ่งมันแตกต่างไปจากเหล่าคนไร้คู่สมัยใหม่ตามเมืองใหญ่อย่างสิ้นเชิง เพราะพวกเขาจะไม่ตัดโอกาสที่ตัวเองจะได้พัฒนาศักยภาพ พร้อมกับยกมาตรฐานความสำเร็จอยู่เสมอ เนื่องจากมันเป็นหนทางการพัฒนาตนเอง

ที่สำคัญพวกเขายังเป็นกลุ่มคนที่มีความสุขสมบูรณ์ในการใช้ชีวิตโดดเดี่ยว ไม่แตกต่างกับคนที่อยู่ในความสัมพันธ์ อีกทั้งยังพยายามมองไปข้างหน้า เพื่อแสวงหาความท้าทายรูปแบบใหม่ที่รออยู่ในขั้นต่อไป

8. ไม่ต้องอะลุ้มอล่วยกับความบันเทิง | การมีความสัมพันธ์มักตามมาด้วยความขัดแย้ง และต้องยอมรับว่าหลายครั้งมันบั่นทอนชีวิตอยู่พอสมควร หนุ่มสาวหลายคนจึงกำลังสนุกสุดเหวี่ยงกับชีวิตโดดเดี่ยว แถมยังมีความคิดปฏิเสธการใช้ชีวิตคู่อย่างชัดเจน เพราะมันทำให้ไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่สร้างความกระวนกระวายใจ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจโดยไม่มีใครมามีอิทธิพลต่อรายละเอียดของชีวิต ตั้งแต่เรื่องดูหนัง ฟังเพลง กินข้าว ตัดผม รวมไปจนถึงการปลดปล่อยความต้องการทางเพศ ที่มักเป็นไปในลักษณะเลือกซื้อความตื่นเต้นมาเติมเต็มประสบการณ์ใหม่มากกว่า เพราะมันสามารถทำให้หลบหนีสภาวะเปล่าเปลี่ยวได้สักพัก ซึ่งประเด็นนี้กำลังกลายเป็นปัญหาที่ทั่วโลกต้องเผชิญ จนกระทั่งบางประเทศต้องออกมารณรงค์ให้คนมีลูกกันมากขึ้น

9. เต็มเปี่ยมไปด้วยเวลาสำหรับคนรอบข้าง | จริงๆ แล้วคนรักความสันโดษมีเวลาให้ตัวเอง ครอบครัว เพื่อนฝูง อย่างล้นเหลือ เพียงแต่บางครั้งจะมีความเป็นส่วนตัวสูงจนไม่อยากพบปะผู้คน เพราะเบื่อกับการเสแสร้ง และยังไม่พร้อมพูดจาประนีประนอมกับใคร แต่พวกเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทบทวนตัวเอง และก็เอาเงินที่หามาได้ซื้อความสุขให้ตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการใส่ใจดูแลรูปร่างหน้าตาตัวเองแบบไม่คิดที่จะโหยหาใครเข้ามาในชีวิต และถ้ามีวันหยุดยาวเมื่อไหร่ แน่นอนว่าเขาจะใช้เวลาอยู่ครอบครัวอย่างอบอุ่น หรือเปิดหูเปิดตาด้วยการออกไปเที่ยวพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงอย่างเต็มอิ่ม

10. เกลือกกลิ้งสบายๆ คนเดียวบนเตียงของตัวเอง | นอกจากการเลือกอยู่คนเดียวจะทำให้คุณสามารถใส่ชุดนอนเน่าอยู่บ้านทั้งวันโดยไม่มีใครว่าได้แล้ว เตียงนอนยังกลายเป็นอาณาเขตของคุณเพียงผู้เดียวโดยไม่ต้องแบ่งให้ใคร สามารถนอนดิ้นทั้งคืนได้ตามสบาย อีกทั้งยังตื่นสายแค่ไหนก็ได้ตามใจชอบ

อ่านเพิ่มเติม: