ไม่พบผลการค้นหา
รอบชิงของการแข่งขันกีฬาอเมริกันฟุตบอลซูเปอร์โบว์ลเป็นงานกีฬาที่มีคนดูมากที่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งทุกปี นอกจากคนก็จะตั้งตารอการแข่งขันกีฬาประจำชาติแล้ว คนก็ยังรอดูการแสดงช่วงพักครึ่งและโฆษณาระหว่างการแข่งขันด้วย

งานซูเปอร์โบว์ลเป็นงานกีฬาที่มีคนดูมากที่สุดของสหรัฐฯ ค่าโฆษณาในช่วงนี้จึงสูงตามไปด้วย ดังนั้น ทุกปี บริษัทยักษ์ใหญ่มักจะทุ่มทุนทำโฆษณาให้คนดูซูเปอร์โบว์ลจำได้และนำไปพูดถึงให้ได้มากที่สุด

ในยุคที่คนไม่ค่อยเปิดโทรทัศน์กันแล้ว และโฆษณาบนออนไลน์ก็มักถูกกดข้ามไป ซูเปอร์โบว์ลถือเป็นสวรรค์ของนักการตลาดทั้งหลาย แม้ช่องเอ็นบีซีคิดค่าโฆษณาในช่วงซูเปอร์โบว์ลมากกว่า 5 ล้านดอลลาร์ต่อโฆษณา 30 วินาที

โฆษณาที่มีคนพูดถึงมากที่สุดก็คือ ขนมโดริโทสและเครื่องดื่มเมาน์เทนดิวของบริษัทเป๊ปซี่ โดยบริษัทเป๊ปซี่ได้รวมโฆษณาสินค้า 2 ตัวมาไว้ในโฆษณาเดียวกัน ด้วยการนำปีเตอร์ ดิงค์เลจ นักแสดงจาก Game of Thrones และบัสตา ไรมส์ แรปเปอร์ชื่อดังมากร้องแรปแบทเทิลกับมอร์แกน ฟรีแมน นักแสดงรางวัลออสการ์ และมิสซี เอลเลียต แรปเปอร์หญิงของสหรัฐฯ

เป๊ปซี่จ่ายค่าโฆษณาความยาว 1 นาทีนี้ในราคากว่า 10 ล้านดอลลาร์ ให้คนหลายล้านคนที่ดูทางโทรทัศน์ และยังทำให้คนไปเสิร์ชดูออนไลน์อีกครั้งมากกว่า 10 ล้านวิว สำนักข่าวต่างๆ ก็ทำข่าวเกี่ยวกับโฆษณานี้ ยิ่งทำให้มีคนดูโฆษณานี้เพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก และสามารถกู้หน้าเป๊ปซี่ได้ดีมาก หลังจากถูกถล่มอย่างหนักว่า นำเคนดัล เจนเนอร์มาลดทอนคุณค่าการประท้วง Black Lives Matter เมื่อปีที่แล้ว

สำนักข่าวเดอะ นิวยอร์ก ไทม์สตั้งข้อสังเกตว่า ในงานซูเปอร์โบว์ลช่วงหลายปีที่ผ่านมา มักแฝงข้อความทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ ความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติและศาสนา ซึ่งเข้มข้นมากในปีที่แล้ว หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ไม่นาน แต่ปีนี้ เกือบทุกบริษัทเลือกที่จะทำโฆษณาที่ขบขันหรือพูดถึงอดีตที่สวยงามออกมาแทน

ที่สำคัญ คือไม่มีโฆษณาที่พูดถึงแคมเปญต่อต้านการคุกคามทางเพศ แม้ที่ผ่านมาจะมีข่าวออกมาว่านักฟุตบอลชื่อดังหลายคนถูกกล่าวหาว่าคุกคามทางเพศคนอื่น อย่างไรก็ตาม ปีนี้ก็ไม่มีโฆษณาไหนที่นำผู้หญิงมาเป็นวัตถุทางเพศอย่างที่เคยมีในปีก่อนๆ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญทีเดียว

ซูซาน เครเดิล ผู้บริหารฝ่ายครีเอทีฟของบริษัทเอเจนซี FCB แสดงความเห็นว่า นักโฆษณาอาจกังวลว่า การพูดถึงเรื่องการเมืองหรือสังคมอาจทำให้แบรนด์ดูเหมือนเป็นพวกฉวยโอกาส มากกว่าเป็นการแสดงการสนับสนุน และความตลกขบขันก็ขายได้มากกว่าในบริบทสังคมและการเมืองสหรัฐฯ ในปัจจุบัน เพราะเมื่อโลกหรือสหรัฐฯ กำลังวุ่นวาย คนก็คงต้องการพลังบวกมาช่วยถ่วงดุลบ้าง โฆษณาที่อบอุ่นหัวใจและตลกขบขันอาจเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจากโลกแห่งความ เป็นจริงที่ทุกคนต้องเผชิญอยู่