ไม่พบผลการค้นหา
ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ จากสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และนักศึกษาปริญญาเอก สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัย Oxford ชวนมองความเป็นมืออาชีพของทหารและกองทัพในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

ปี 2557 กองทัพไทยทำรัฐประหารรัฐบาลพลเรือน ครองอำนาจยาวมากระทั่งอีก 7 ปีต่อมา ปี 2564 กองทัพพม่าก็รัฐประหารเช่นเดียวกัน หากนับเฉพาะในอาเซียน ปฏิเสธไม่ได้ว่ากองทัพไทยและพม่ายังคงมีบทบาทหลักในทางการเมืองของประเทศตัวเอง

คำถามมีอยู่ว่า พ้นไปจากบทบาทในการทำรัฐประหารแล้ว เราเห็นบทบาททหารในการเมืองโลกอย่างไร ทำไมกองทัพของประเทศโลกที่หนึ่งสามารถสร้างความเชื่อมั่นจากพลเรือนได้ 

ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ จากสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และนักศึกษาปริญญาเอก สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัย Oxford ตอบคำถามเริ่มต้นถึงประเด็น “สงครามโลกยุติไปแล้ว ทหารยังมีความจำเป็นหรือไม่” 

ฟูอาดี้

ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ ภาพจาก fuadi pitsuwan

“ปัจจุบันการที่เราไม่มีสงคราม ‘Hot War’ อาจมาจากการที่หลายๆ ประเทศมีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าบุกรุกคุกคาม” 

เขาอธิบายว่า ในสถานการณ์สงครามเย็น การที่อเมริกากับโซเวียตประชันหน้ากัน แต่ไม่รบกันแบบ Hot War ในทางทฤษฎีมีคำอธิบายอยู่ว่าการมีอาวุธที่แข็งแกร่ง การมีนิวเคลียร์ เป็นการต้านทานไม่ให้อีกฝั่งหนึ่งมาบุกรุกก่อน 

“ในเชิงยุทธวิธี ถ้าเราโดนยิงก่อนและยังไม่ตาย เราสามารถยิงกลับได้ สมมุติว่าอเมริกายิงเราก่อนแล้วเราไม่ตาย เราสามารถยิงวอชิงตันกลับได้ ซึ่งจะทำให้อเมริกาต้องคิดหลายชั้น เพราะฉะนั้นการมีกองกำลังที่แข็งแกร่ง น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้สงครามจริงไม่เกิด”

ฟูอาดี้ เปรียบว่า เราอาจจะรู้สึกว่ากองกำลังไม่จำเป็น แต่มันเหมือนอากาศที่มีอยู่แต่เราไม่รู้ ว่ามี เนื่องจากถ้าไม่มีจริงๆ เราอาจเห็นผลลัพธ์ที่เป็นความสูญเสียมาก เช่น การที่ไต้หวันยังไม่ถูกจีนบุกเพราะว่าไต้หวันมี ‘US Security’ ถ้าจีนบุก อเมริกาก็พร้อมจะตอบโต้กลับทันที และจะกลายเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ ฉะนั้นการที่แต่ละประเทศมีกองกำลังอยู่ทุกวันนี้ ในด้านหนึ่งก็เป็นการป้องกันสงคราม

“ธีโอดอร์ เท็ดดี้ รูสเวลต์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยบอกว่า speak softly and carry a big stick หมายความว่าในทางการทูต กระทรวงต่างประเทศจะมีประสิทธิภาพได้ ข้างหลังต้องมีกองกำลังที่แข็งแกร่งพอ พูดเบาๆ ได้ แต่ต้องถือไม้ที่ใหญ่ๆ ไว้ นี่คือสัจธรรมอย่างหนึ่งของนโยบายการต่างประเทศที่มีความมั่นคงหนุนหลัง”

นั่นคือมุมมองต่อบทบาททหารอาชีพในบริบทโลก ขณะที่กลับมามองในสังคมไทย หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า “ในเมื่อยุคสมัยใหม่สามารถใช้เทคโนโลยีซับพอร์ตความมั่นคงได้ ทหารมีไว้อีกทำไม”  

ฟูอาดี้ออกตัวว่า ทัศนคติของคนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ นักวิชาการสายประชาธิปไตย จะมีประสบการณ์กับทหารหรือกองทัพที่ไม่เหมือนคนอื่น เราต้องแยกให้ออก การที่เรามีทัศนคติที่แย่ต่อทหารเป็นผลโดยตรงจากการกระทำทางประวัติศาสตร์การทหารที่เกี่ยวข้องกับการเมืองภายในประเทศของเรา

เขาย้ำว่า ไม่ได้หมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องมีทหาร แต่เราต้องการกองทัพที่มีความเป็นมืออาชีพ สามารถป้องกันอธิปไตยให้เราได้ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการมีทหารที่เราจ่ายภาษีให้เขามายึดอำนาจเรา

“ตอนที่มีประชาชนประท้วงการซื้อเรือดำน้ำจากกองทัพเรือ ถ้าเอาประเด็นภัยคุกคาม ผมเห็นด้วยว่าควรมี ปัญหาคือที่มีไม่ได้เพราะการกระทำของทหารที่ผ่านมาทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นว่าการซื้อเรือดำน้ำจะไม่ทุจริต หรือการซื้อครั้งนี้จะคุ้มค่า

“ในกรณีต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ ประชาชนเองก็ไม่ได้ต้องการให้ลูกหลานของเขาไปรบที่อิรักหรืออัฟกานิสถาน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือนของเขาดีกว่าของไทยมาก

“ทหารสหรัฐฯ จะมีวัฒนธรรมการฟังพลเรือนมาก เป็นสิ่งที่รู้กันทั่วไปในวอชิงตัน ดีซี ว่า ทหารที่ใส่ยูนิฟอร์มที่เป็นผู้บังคับยุทโธปกรณ์ เขาจะรู้ถึงความสูญเสีย เขาจึงไม่ค่อยอยากใช้กำลัง ขณะฝ่ายที่ต้องการใช้กำลังกลับเป็นพวกกระทรวงต่างประเทศหรือทำเนียบขาวที่ไม่ได้มีประสบการณ์การเป็นทหารมามากกว่า” 

เขายกตัวอย่างเรื่องเล่าว่า สมัยที่สหรัฐฯ จะบุกอิรัก รัฐมนตรีต่างประเทศบอกผบ.สส. ว่า เป็นไปได้ไหมที่เราจะบินเครื่องบินของเราให้ต่ำพอ เพื่อที่อิรักจะได้ยิงเครื่องบินเราตก จะได้มีเหตุผลในการบุกเข้าอิรัก ผบ.สส. ตอบว่า เมื่อไหร่ที่คุณบินเครื่องบินนี้ได้ ผมทำทันทีเลยเพราะว่าเขารู้ว่าคนที่ขับเครื่องบินนั้นต้องโดนยิงตายแน่ แต่เขาไม่อยากเสี่ยงกับความสูญเสียที่จะตามมา

“ในโลกยุคใหม่ การเกิดขึ้นของอากาศยานไร้คนขับเป็นเรื่องทางปรัชญาที่ถกเถียงกันหนักมาก เมื่อก่อนทหารจะไม่อยากออกรบเพราะกลัวความสูญเสีย คำถามคือพอมีอากาศยานไร้คนขับขึ้นมาแล้ว จะทำให้การออกรบง่ายขึ้นใช่ไหม เช่น ยุคประธานาธิบดีโอบามามีการใช้โดรนเยอะมาก”

เมื่อบทบาทของทหารเปลี่ยนไปตามยุคสมัย บวกกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นมา เช่น ภัยคุกคามทางไซเบอร์ โรคระบาด ภัยแล้ง ผู้ลี้ภัย คำถามสำคัญคือทหารไทยจะรับมือกับภัยเหล่านี้อย่างไร

ฟูอาดี้ บอกว่า แม้ว่าที่ไทยมีโรงเรียนนายร้อย หรือการเกณฑ์ทหาร แต่คำถามที่ใหญ่กว่าจะมีวิธีรับสมัครทหารอย่างไรในการรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆ คือ “การรับใช้ชาติ จำเป็นต้องเป็นทหารหรือไม่” 

“ถ้าเวลานี้ต้องการจะรับใช้ชาติ แทนที่จะไปสมัครทหาร เราไปสมัครเป็นหมอหรือพยาบาลได้ไหม หรือแทนที่จะไปเกณฑ์ทหารสองปี ขอไปเป็นเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้เพื่อรับใช้ชาติด้วยการดับไฟป่าแทนได้ไหม เพราะการจะจงรักภักดีหรือการรักชาติ มีสองอย่าง คือรู้สึกว่าอยากทำจริงๆ กับรู้สึกถูกบังคับ” 

คำถามจึงนำมาสู่ประเด็นว่าจะทำอย่างไรให้กองทัพมีความน่าเชื่อถือ คำตอบของฟูอาดี้คือ “ถอยออกจากการเมือง “

เขาตัวอย่างในอินโดนิเซีย เมื่อกองทัพถอยออกจากการเมืองไป มีผลสำรวจออกมาว่าการของบประมาณทำได้ง่ายขึ้น การถูกต่อต้านน้อยลง ซึ่งเป็นเหตุเป็นผลว่าการที่ทหารถอยออกจากการเมืองทำให้ประชาชนไว้วางใจมากขึ้น

ในมุมของฟูอาดี้ เขามองว่าทหารมีความสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไหนก็ตาม 

“ในพม่า คนที่ร่วมก่อตั้งพรรคเอ็นแอลดีร่วมกับอองซาน ซูจี ก็เป็นทหาร การที่พม่าพยายามรับกระบวนการประชาธิปไตยเข้ามาตอนปล่อยตัวซูจี นายพลเต็ง เส่ง ก็มีส่วนร่วมตลอด หรือแม้แต่การ ‘อภิวัฒน์ 2475’ ก็มีทหารร่วมด้วยตลอด” 

“เวลานี้ สิ่งที่ประชาชนกำลังตรวจสอบทหาร นำไปสู่คำถามว่าทหารเป็นของใคร กลุ่มหนึ่งจะบอกว่าเป็นของพระราชา อีกกลุ่มบอกว่าทหารเป็นของประชาชน และอีกกลุ่มอาจจะบอกว่าทหารเป็นของทหารเอง ไม่ขึ้นกับใครเลย และแนวคิดทั้งสามนี้กำลังชนกันอยู่”

แล้ว “ทหารมืออาชีพเป็นของใคร” ฟูอาดี้บอกว่า ในมุมส่วนตัว ทหารเป็นของผู้ที่มีความชอบธรรมทางการเมืองที่มาจากฉันทามติของประชาชน ถ้าจะให้ทหารได้รับความเคารพมากขึ้น ทหารต้องอยู่ภายใต้การเมืองของพลเรือน 

“ในสหรัฐฯ ทหารที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลและประธานาธิบดีเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ละรัฐยังมีกองทัพเป็นของตัวเอง เช่น ถ้า ผบ.ทหาร ที่วอชิงตันบอกว่าจะรัฐประหาร แต่ทหารที่รัฐเนวาดาไม่เอาด้วยจะทำอย่างไร นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ไทยไม่กระจายอำนาจ

“ถ้าเชียงใหม่มีตำรวจของตัวเอง มีอาวุธของตัวเเอง สามารถตัดสินใจได้เอง ถ้าเกิดมีรัฐประหารที่กรุงเทพฯ แล้วเชียงใหม่ไม่เอาด้วยจะทำอย่างไร” 

ประเด็นสุดท้าย กองทัพที่ควรเป็นในสายตาฟูอาดี้เป็นอย่างไร เขาตอบทันทีว่าต้องมีความเป็นมืออาชีพ ต้องเชื่อในการปกครองของพลเรือน 

“รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมควรมากจากพลเรือน เป็นตัวแทนประชาชนมากกว่าเป็นทหาร เพราะจะได้เอาความคิดจากประชาชนมาบอกข้าราชการอีกทีหนึ่ง มากกว่านั้น ทุกๆ กระทรวงไม่ควรเอาข้าราชการประจำมาเป็นรัฐมนตรี เพราะจะได้มีการคานอำนาจกันและกัน และความรู้จะได้ถ่ายเทตลอด” นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเเทศ ทิ้งท้าย

ปัจจุบันฟูอาดี้กำลังทำวิทยานิพนธ์เรื่อง “ความสัมพันธ์ทางการทหารและอัตลักษณ์ทางภาษา” เขาค้นพบประเด็นที่น่าสนใจว่า กลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาเดียวกันจะเซ็นสนธิสัญญาทางการทหารออกมาไม่ซับซ้อนเท่ากับประเทศที่มีอัตลักษณ์ทางภาษาที่ต่างกัน” ซึ่งเป็นประเด็นที่ ‘วอยซ์’ จะหาโอกาสนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไป

หมายเหตุ - สรุปประเด็นจากเสวนาออนไลน์เรื่อง “บทบาททหารในการเมืองโลก” จัดโดย POLSCI LAB คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2564