ครอบครัวอเมริกันเชื้อสายม้งของเธอโอบกอดกันด้วยความดีใจ เสียงแห่งความปลื้มปิตินี้ไม่ได้ดังอยู่แค่ในสหรัฐฯ เท่านั้น พี่น้องชาติพันธุ์ม้งในไทยหลายคนต่างแสดงความยินดีกับ ‘สุนิ’ เช่นกัน
จอห์น ลี พ่อของเธอ เคยให้สัมภาษณ์ ‘VOA’ ถึงความสำเร็จของลูกสาวว่า "ผมหาคำไหนมาแทนความรู้สึกตอนนี้ไม่ได้เลย ว่าผมมีความสุขมากแค่ไหน และสิ่งที่เกิดขึ้นสำคัญขนาดไหนสำหรับตัวผม ครอบครัว และชุมชนชาวม้งทั่วโลก”
พ่อและแม่ของสุนิสาเคยลี้ภัยจากลาว มาอยู่ในค่ายอพยพที่ไทย ก่อนจะเป็นหนึ่งในชาวม้งร่วมสองแสนคนที่ได้ลี้ภัยต่อไปประเทศที่สาม เริ่มต้นชีวิตใหม่ในอเมริกา
ความสำเร็จของสุนิสา ลี ชวนให้มองกลับมาที่กลุ่มชาติพันธุ์ในไทย เนื่องในวันสากลชนเผ่าพื้นเมืองโลก (International Day of Indigenous Peoples) ที่สหประชาชาติกำหนดให้ตรงกับวันที่ 9 ส.ค. ของทุกปี เพื่อย้ำเตือนให้ตระหนักถึงการมีอยู่ของชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลก และเพื่อเรียกร้องให้ชนเผ่าพื้นเมืองได้มีส่วนร่วมในระบบสังคมและเศรษฐกิจที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
‘วอยช์’ ชวนเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล ทนายความชาวม้งที่ต่อสู้เรื่องสิทธิชุมชนของคนชาติติพันธุ์บนพื้นที่สูง เพื่อทำความเข้าใจว่าเหรียญทองโอลิมปิกของชาวม้งในสหรัฐฯ สะท้อนโอกาสที่ถูกพรากไปจากชนเผ่าพื้นเมืองในไทยอย่างไร
ภาพ : เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล
ผมคิดว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นว่าคนที่มีพื้นเพมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ม้งได้ชนะเลิศก้าวมาถึงจุดที่สูงที่สุด เนื่องจากว่าคนม้งในสังคมโลกเป็นชนกลุ่มน้อยและเป็นกลุ่มคนที่ถูกกระทำมาตลอดในประวัติศาสตร์ การที่คนม้งได้เห็นคนที่เป็นตัวแทนของเราก้าวมาถึงจุดสูงสุด คนก็จะรู้สึกว่าตัวแทนของเราหรือว่าคนของเราก็สามารถประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดได้เหมือนกัน
ในภาวะปกติความภูมิใจหรือว่าความรักในเผ่าพันธุ์ของตัวเองทุกคนก็มีอยู่แล้ว พอมีเหตุการณ์แบบนี้ก็ทำให้ความรู้สึกแบบนี้มันเพิ่มขึ้นมา
คนม้งที่อยู่ในสหรัฐฯ ผมคิดว่าเกินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นคนที่อพยพเข้าไปในฐานะผู้ลี้ภัยสงคราม ปัญหานี้เกิดขึ้นช่วงสงครามเย็นในภูมิภาคอินโดจีน ช่วงที่เกิดสงครามในลาว ม้งก็เป็นกลุ่มหลักกลุ่มหนึ่งที่เป็นกองกำลังและทหารรบซึ่งแบ่งเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่อยู่กับรัฐบาลลาวและฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล พอเกิดสงครามกลุ่มที่แพ้ก็อพยพลี้ภัยเข้ามาอยู่ในไทยโดยที่มีสหรัฐฯ คอยช่วยเหลือ
ประเทศไทยในยุคนั้นก็มีการตั้งศูนย์อพยพใหญ่ๆ ในหลายจังหวัด ทั้งที่พะเยา น่าน เพชรบูรณ์ ในช่วงนั้นก่อนปี 2520 คนม้งในประเทศไทยมีอยู่ประมาณสามแสนคน กลุ่มใหญ่ก็คือกลุ่มคนที่ลี้ภัยสงครามจากลาวมา
ต่อมามีการอพยพคนกลุ่มนี้ไปประเทศที่สาม ซึ่งส่วนใหญ่ไปที่สหรัฐฯ บางส่วนก็ไปแคนาดาบ้าง ออสเตรเลียบ้าง ฝรั่งเศสบ้าง ตัวเลขคร่าวๆ คือถูกอยพไปประมาณ 170,000 – 180,000 คน ที่เหลืออยู่เป็นกลุ่มคนม้งที่มีถิ่นฐานอยู่ที่ไทยมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
อาจจะไม่ใช่แค่คนม้งที่ได้รับผลกระทบ กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดประมาณ 10-11 เผ่า แล้วแต่จะนิยาม ล้วนเป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายของรัฐบาลที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ผมคิดว่าหลักๆ มีอยู่ 2-3 เรื่อง หนึ่งคือสังคมไทยยังคงเป็นสังคมที่ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงมีสิทธิเหนือกว่า ในขณะที่คนกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงมีสถานะเป็นคนชายขอบ การบอกว่าเป็นสังคมชนชั้นมันไม่ได้ชัดเจนอยู่ในกฎหมายและนโยบายที่กำหนดให้กลุ่มที่เป็นคนชาติพันธุ์มีความแตกต่าง แต่มันอยู่ในแนวทางปฏิบัติในวิถีชีวิตประจำวันทั่วๆ ไปที่ผู้คนเจอ
กฎหมายรับรองให้คนมีความเท่าเทียมกันก็จริง แต่เราต้องไปดูในรายละเอียดว่ากลุ่มคนชาติพันธุ์ถูกปฏิบัติแตกต่างจากกลุ่มคนอื่นอย่างไร ผมยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนน ไฟฟ้า ประปาในพื้นที่ของกลุ่มคนชาติพันธุ์แทบจะไม่มีเลย
อีกอย่างที่เป็นความแตกต่างและส่งผลกระทบต่อสังคมในระยะยาวคือระบบการศึกษา ถ้าเราดูนโยบายโดยทั่วๆ ไป เราจะเห็นว่ารัฐบาลได้จัดการศึกษาให้คนทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง แต่ถ้าเราดูในรายละเอียดเราจะเห็นความแตกต่างว่าถ้าเป็นโรงเรียนในเมือง เป้าหมายใหญ่ที่ถูกพูดถึงคือการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสู่ความเป็นเลิศใช่ไหมครับ แต่ถ้าเป็นพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์การจัดการศึกษายังอยู่ภายใต้รูปแบบการจัดการศึกษาแบบสงเคราะห์อยู่
ในระบบการศึกษาที่เป็นแบบสงเคราะห์ก็ตามชื่อครับ เพียงเพื่อให้มีโรงเรียนให้เด็กได้เข้าไปเรียน แต่เรื่องคุณภาพมันมีปัญหามาก ตั้งแต่เรื่องของบุคลากร งบประมาณ เครื่องไม้เครื่องมือ เทคโนโลยี ทำให้ลูกหลานของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลไม่มีโอกาสที่จะได้รับการศึกษาที่ทัดเทียมกับลูกหลานของคนในเมือง
ความแตกต่างกันเหล่านี้ส่งผลอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การสอบเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ถ้าเป็นลูกหลานของคนในเมืองก็จะได้เรียนในโรงเรียนที่มีความพร้อม แต่ถ้าเป็นลูกหลานของกลุ่มคนชาติพันธุ์ที่อยู่บนพื้นที่สูง โอกาสในการที่จะได้ติวมันแทบจะไม่มี สัดส่วนของเยาวชนชาติพันธุ์ในพื้นที่ห่างไกลที่จะสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยจึงน้อย
สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของพวกเขา ผมเห็นเยอะมากที่นักเรียนเวลาจบม.3 หรือ ม.6 ก็จะออกจากระบบไปทำงานอยู่ในชุมชนเป็นเกษตรกร หรือเข้าสู่ระบบตลาดแรงงานชั้นล่างในเมือง ความเหลื่อมล้ำของวิถีและคุณภาพชีวิตนั้นเห็นชัดเจน
การจะได้เป็นนักกีฬาสโมสรหรือทีมชาติ การสอบเข้าเป็นข้าราชการ การได้ทำงานในบริษัทที่ดี หรือการที่จะสามารถกลับมาประกอบกิจการที่อยู่ในบ้านเกิดของตัวเองได้ การจะมีโอกาสทำอะไรแบบนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานสังคมที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาสที่เสมอภาคและเท่าเทียมกันก่อน มันจึงจะทำให้คนทุกคนสามารถก้าวขึ้นไปได้
ถ้าเริ่มต้นจากการไม่มีโอกาสแล้ว การจะก้าวขึ้นไปก็ลำบาก แม้ว่าจะเป็นคนที่มีศักยภาพจริง ถ้าเขาอยู่ในสังคมที่ไม่เอื้ออำนวย เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ศักยภาพของเขาอยู่ดี
ผมคิดว่าลูกหลานของคนชาติพันธุ์ด้อยโอกาสกว่าลูกหลานของคนกลุ่มอื่นในสังคม กรณีของสุนิสา ลี สาระสำคัญอันหนึ่งคือ เขาอยู่ในสังคมที่มีสิ่งแวดล้อมที่เปิดกว่า แม้ว่าในทางข้อเท็จจริงการกีดกันการเหยียดเชื้อชาติจะยังมีอยู่ในสหรัฐฯ แต่บริบทของเขาเปิดมากกว่า
คนที่มีศักยภาพก็สามารถโชว์ได้อย่างเต็มที่ มีระบบ มีพื้นที่สนับสนุนให้คนที่มีศักยภาพได้ก้าวขึ้นไป คนทุกคนถ้าเราอยู่ในสภาพสังคมหรือได้รับโอกาสให้พัฒนาศักยภาพ คนที่เขามีความตั้งใจอยู่แล้วก็จะสามารถพัฒนาตัวเองไปให้ได้ไกลที่สุด เขาสามารถที่จะขึ้นไปอยู่ในเวทีการแข่งขันกับคนอื่น ๆ ได้อย่างเท่าเทียมกัน
ถ้าเป็นในยุโรปหรือในสหรัฐฯ ที่คนมีความแตกต่างกันในทางรูปธรรมชัดเจน การเหยียดของเขาก็จะเห็นเป็นรูปธรรม ต่างจากลักษณะของสังคมไทยที่เป็นสังคมของคนผิวเหลืองเหมือนกัน การเปรียบเทียบการเหยียดสีผิวในยุโรปและสหรัฐฯ กับไทยอาจจะทำโดยตรงไม่ได้
ในสังคมไทย เราอาจจะไม่ได้เรียกโดยตรงว่าเป็นการเหยียดแต่เป็นการมีอคติต่อกลุ่มคนที่เป็นชนชาติพันธุ์ ซึ่งอคติเหล่านี้เราไม่เห็นมันในกฎหมายหรือนโยบาย แต่จะเห็นในปฏิสัมพันธ์ระกว่างกลุ่มคนชาติพันธุ์กับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะถ้าเป็นหน่วยงานรัฐที่มีความเป็นอำนาจนิยมและอนุรักษนิยม อคติหรือการปฏิบัติบางอย่างก็จะเห็นชัดเจนมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องที่ดินทำกิน เรื่องสัญชาติ จะเห็นรูปธรรมว่าอำนาจรัฐปฏิบัติต่อกลุ่มคนชาติพันธุ์อย่างไร เช่น สิทธิในที่ดินทำกิน แม้ว่าเขาจะอยู่มาก่อนกี่ร้อยปีก็แล้วแต่ โดยกฎหมายและปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ก็จะทำให้กลุ่มคนชาติพันธุ์ไม่ได้รับสิทธิในที่ดินของเขา
จากที่ผมเคยศึกษา ในเรื่องการเลือกปฏิบัติต่อคนผิวสีอาจจะเปรียบเทียบโดยตรงกับสังคมไทยไม่ได้ แต่โดยไอเดียแล้ว เขาบอกว่าการเลือกปฏิบัติต่อคนที่มีความแตกต่างกันทางเชื้อชาติมันฝังอยู่ในสำนึกของคนอยู่แล้ว การที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ต้องเริ่มจากความตระหนักรู้ ซึ่งมีทั้งสองด้าน ทั้งฝ่ายของผู้ถูกกดขี่และฝ่ายผู้มีอำนาจ
ทั้งสองฝ่ายต้องตระหนักร่วมกันว่า คนไม่ว่าจะเป็นคนเผ่าพันธุ์ใดสีผิวใด ทุกคนมีศักดิ์ศรี มีศักยภาพอยู่ในตัวที่ทัดเทียมกัน ดังนั้นทุกคนจึงควรมีสิทธิและเสรีภาพในการอยู่ในสังคมเท่าเทียมกัน เบื้องต้นต้องเริ่มต้นจากผู้ถูกกดขี่ที่ต้องตระหนักเรื่องนี้ การตระหนักมันมากกว่าการเข้าใจ มันหมายถึงว่าเราต้องมีสำนึกอยู่ในตัวของเรา ว่าแม้เราจะเป็นชนกลุ่มน้อย แต่เราก็มีศักยภาพที่ทัดเทียมกับคนที่เป็นชนกลุ่มใหญ่เหมือนกัน เรามีสิทธิเสรีภาพเช่นกัน การตระหนักแบบนี้มันจะทำให้คนที่ถูกกดขี่มีความมั่นใจ มีความพยายามที่จะใช้สิทธิเสรีภาพของตัวเองเท่าที่มีอยู่ ทำให้เกิดการเรียกร้องให้มีการยกระดับสิทธิเสรีภาพในกฎหมายและนโยบาย ยกระดับตัวเองขึ้นมา
ถ้าคนที่เป็นชนกลุ่มน้อยช่วยกันหลายคน พยายามใช้สิทธิของตัวเองเพื่อผลักดันเพดานสิทธิของตัวเอง มันจะทำให้สิทธิของเราถ่างกว้างขึ้น ค่อยๆ ขยับไป ในมุมของผู้มีอำนาจหรือคนที่เป็นชนกลุ่มใหญ่ก็ต้องตระหนักว่า แม้คนอื่นจะเป็นคนกลุ่มน้อยแต่พวกเขาเป็นมนุษย์และมีศักยภาพ มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน จึงต้องให้โอกาสเขาในการใช้สิทธิที่ทัดเทียมกับคนอื่น
ทีนี้ถ้าเราดูคนผิวสีในยุโรปอเมริกา คนกลุ่มนี้สามารถยกระดับของตัวเองขึ้นมาทำให้สิทธิระหว่างคนผิวสีน้อยลง แม้ในทางปฏิบัติจะยังถูกเลือกปฏิบัติอยู่แต่ช่องว่างทางสังคมมันน้อยลง เรื่องนี้ไม่ค่อยถูกพูดถึงให้เป็นรูปธรรมในสังคมไทย
เวลาเราพูดถึงเรื่องคนผิวสีในสหรัฐฯ มันมีการศึกษาที่ชัดเจนกว่าสังคมไทย มีงานวิจัยหนึ่งที่เขาศึกษาการเรียกของตำรวจ ณ จุดตรวจที่ชี้ให้เห็นได้เลยว่ามีตำรวจเรียกตรวจรถของคนผิวสีมากกว่าคนผิวขาว เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนเลยว่าอคติที่มีต่อคนผิวสีของผู้มีอำนาจมีอยู่อย่างชัดเจนจริง
นอกจากเรื่องนี้ เขายังศึกษาการเรียกตรวจยาเสพติดในกลุ่มคนผิวขาวกับคนผิวสี เขาอธิบายว่าคนผิวขาวส่วนใหญ่จะมีสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจที่ดีกว่า จึงใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนน้อยกว่ากลุ่มคนผิวสีที่ส่วนใหญ่มีสถานะทางเศรษฐกิจแย่กว่า จริงๆ ทั้งสองกลุ่มใช้ยาเสพติดเท่าๆ กัน แต่ตำรวจมักจะเรียกคนผิวสีที่อยู่ตามท้องถนนมากกว่า
เขาอธิบายว่าคนที่มีอำนาจมีอคติที่ฝังอยู่ในสำนึกว่า คนผิวสีมักจะยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและก่ออาชญากรรมเยอะกว่า ทั้งที่บางพื้นที่คนผิวขาวใช้ยาเสพติดเยอะกว่าคนผิวสี นี่คือการศึกษาวิจัยของเขาที่ชัดเจน
แต่พอดูในสังคมไทยผมยังไม่ค่อยได้เห็นการศึกษาวิจัยใดที่นำเสนอออกมาอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมในการอธิบายว่าคนที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ถูกเลือกปฏิบัติแตกต่างไปอย่างมีนัยสำคัญอย่างไร และการทำให้เห็นว่าการที่อำนาจรัฐปฏิบัติต่อกลุ่มคนชาติพันธุ์อย่างไม่เท่าเทียม นอกจากจะส่งผลกระทบต่อตัวปัจเจกบุคคลแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสังคมในภาพรวมอย่างไร
แน่นอนว่ากลุ่มคนที่ด้อยโอกาส ไม่มีโอกาสในการพัฒนาตัวเองมากนักก็ยังมีวิธีคิดว่าเราไม่มีความสามารถมากพอที่จะแข่งขันกับคนอื่น คนที่คิดแบบนี้ก็ยังมีเยอะอยู่ ส่วนใหญ่ก็จะเข้าไปสู่ระบบตลาดแรงงานล่าง ไม่ก็กลับมาเป็นเกษตรกรที่บ้านเหมือนเดิม แต่กลุ่มชาติพันธุ์ม้งมีพื้นฐานเป็นคนที่ค่อนข้างจะต่อสู้เพื่อการมีชีวิตอยู่ คนม้งค่อนข้างมีลักษณะนิสัยแบบนี้ ทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนที่ได้รับการศึกษาสามารถยกระดับตัวเองขึ้นมา
มีคนที่สามารถเป็นข้าราชการเยอะขึ้น เรียนจบปริญญาตรีก็มีเยอะ เป็นพยาบาล เป็นครูก็เริ่มมีเยอะแล้ว ที่แหลมขึ้นมาคือเรามีผู้พิพากษาอยู่หนึ่งคน แต่ยังคงเป็นกรณีเฉพาะ
ทุกวันนี้คนม้งค่อนข้างมีฐานะที่ดีขึ้น โอกาสที่พ่อแม่จะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนดี ๆ ได้ก็มากขึ้น โอกาสของคนรุ่นใหม่ก็จะดีกว่าสมัยก่อน ปัจจุบันคนรุ่นใหม่สนใจเรื่องการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน มีคนรุ่นใหม่หลายคนที่อยู่นพื้นที่ท่องเที่ยวเขาอยากทำโฮมสเตย์ ทำร้านกาแฟ จริงๆ มันเป็นโอกาสที่คนรุ่นใหม่หลายคนมองเห็น อยากทำ และพวกเขาก็มีศักยภาพด้วย แต่มีปัญหาว่าตัวกฎหมายนโยบายไม่เอื้อ ทำให้กิจการเหล่านี้ต่อยอดไปไม่ได้ไกล และบางที่ก็ถูกไล่รื้อด้วย