ไม่พบผลการค้นหา
นายกรัฐมนตรี โต้กลับ ยุทธพงศ์ ขอให้ไปศึกษาเงินคงคลัง และระบบภาษีใหม่ ลั่นมีหลักฐานใครเรียกรับผลประโยชน์ให้ระวังตัว ไม่เอาไว้แน่ สั่งตรวจสอบเปิดบ่อนกลางสีลมแล้ว ขอคนพูดอย่าพูดลอยๆ ให้แจ้งความเอาผิดด้วย

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายสาเหตุที่จะไม่ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ว่า มีความไม่เหมาะสม 4 ด้าน ทั้งการสะท้อนว่าไม่มีวินัยการเงินการคลัง เพราะรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กู้เงินเพิ่มเติมทุกปี นับจากเข้ามาเป็นรัฐบาลคสช. รวมเป็นเงินกว่า 3 ล้านล้านบาท พร้อมบอกไม่เชื่อ สตช ได้เงิน 1.2 แสนล้านบาท แล้วจะดูแลบังคับใช้กฎหมายและป้องกันอาชญากรรมได้  

ขณะเดียวกันรัฐบาลใช้เงินมหาศาลไปกระตุ้นเศรษฐกิจ และด้านความมั่นคง แต่ไม่เกิดผล เช่น ถนนธนิยะ ถนนสีลม ที่เป็นย่านธุรกิจ แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจซบเซา ทำให้สถานที่บางแห่งเปิดเป็นบ่อนการพนัน คาสิโน เรื่องนี้ตัวเองขอฟ้องนายกรัฐมนตรี ต้องไปจัดการเพราะนายกรัฐมนตรีเป็นคนดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการที่รัฐบาลไม่ทำตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา โดยเฉพาะข้อ 8 ที่บอกว่าแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤมิชอบในวงราชการ แต่ทางกลับกันการลงทุนโครงการต่างๆกลับมีการทุจริต และโคนการมีความเลื่อนลอย ทำไม่ได้จริง

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลุกขึ้น ชี้แจงว่า เรื่องทุจริตโครงการรถไฟฟ้าได้ยินเหมือนกันว่ามีคนไปเรียกรับผลประโยชน์จะพยายามหาคำตอบเหมือนกัน แต่ก็ไม่เจอหลักฐาน ถ้าใครมีหลักฐานให้หามาเลย ยืนยันตามหลักการจะไม่เอาไว้เหมือนกัน ถ้าตรวจสอบพบหลักฐานว่าผิดจริงก็ดำเนินการทั้งสิ้น 

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังชี้แจง ที่มีคนถามว่าไปไหนมาเมื่อเช้า ตนไปงานจิตอาสามา และแม้จะไม่ได้เข้าสภา แต่ก็ฟังในรถ และ เปิดทีวีฟังตลอด ซึ่งเมื่อคืนเดินทางกลับเวลา 01.00 น. นอน เวลา 02.00 น ก็ยังได้ยินเสียงพวกท่าน ดังนั้นขอบอกว่า ไม่ได้หายไปไหน ส่วนที่กล่าวหาว่ากู้เงินจำนวนมาก ให้ไปดูหลักฐาน เพราะรวมแล้วยังกู้น้อยกว่ารัฐบาลไหนก็ไม่รู้ แต่เท่าที่จำได้ 5-10 ปีที่ผานมา มีรัฐบาลเดียว ไม่ยยากเอ่ยนาม ที่ทำงบประมาณสมดุล เพราะไอเอ็มเอฟ ไม่ให้ทำงบประมาณแบบขาดดุล ดังน้นถ้าพูดแบบไม่มีหลักฐานก็พูดกันไปเรื่อย

สำหรับเงินคงคลัง ที่ไม่เอามาใช้ คนที่พูดไม่เข้าใจถามระบบงบประมาณ จึงพูดแบบนี้ เพราะเงินต้องเก็บไว้ที่เงินคงคลัง ให้คณะกรรมการทยอยเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงเรื่องภาษีขอให้ไปศึกษาระบบภาษีด้วย พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงประเด็นนายยุทธพงศ์ ระบุมีการเปิดบ่อนกลางกรุง ว่าอย่าไปถ่ายรูปอย่างเดียว ให้ไปแจ้งความดำเนินคดีด้วย เจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบ เพราะมีการแจ้งมาเยอะในโซเชียลมีเดีย ซึ่งตนได้สั่งให้ตรวจสอบแล้ว และยืนยันขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะไม่ปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้ ถ้าใครไปเรียกรับประโยชน์จะไปถามจากเขา ก็จะรู้ว่าใคร ก็ขอให้ระวังตัวไว้ด้วย

'รมช.กลาโหม' แจงงบเพิ่ม 6 พันล้าน ไม่สูงผิดปกติ -ช้อปอาวุธทดแทนของเก่าสึกหรอ


พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 วันที่สองถึงการจัดสรรงบประมาณให้กับกระทรวงกลาโหม วงเงิน 2.33 แสนล้านบาท ว่าการจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานไม่สูงหรือเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ หากพิจารณาตามระดับจีดีพี ที่ปี 2563 ได้รับงบประมาณเท่ากับ 7.29 ต่อจีดีพี ขณะที่ค่าเฉลี่ยต่องบประมาณ อยู่ที่ร้อยละ 1.3

เมื่อพิจารณาตามอัตราการได้รับงบประมาณเฉลี่ยของกองทัพ ปี 2540 ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ได้รับงบ อยู่ที่ 2.2 ของระดับจีดีพี หรือคิดเป็นร้อยละ 12 ของวงเงินงบประมาณ แต่หลังจากที่มีภาวะปัญหาเศรษฐกิจกระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณลดลงตามลำดับ และต่ำสุดเมื่อปี 2549 ที่ได้รับเพียง 1.1 ของจีดีพี และเมื่อเปรียบเทียบกับงบทหาร, งบความมั่นคงและกลาโหมของกลุ่มประเทศอาเซียนพบว่าจะมีค่าเฉลี่ยสากล อยู่ที่ 2.2 ของจีดีพี แต่ของไทยอยู่ที่ 1.3 ต่อจีดีพี เท่านั้น

"ช่วงที่ผ่านมากระทรวงกลาโหม ไม่ได้รับงบประมาณที่สูงผิดปกติ ส่วนงบประมาณที่เพิ่มขึ้นปีนี้ กว่า 6,000 ล้านบาท เพื่อใช้ดูแลสวัสดิการของข้าราชการ ปรับปรุงที่อยู่อาศัย และซ่อมแซมรวมถึงจัดหาเครื่องมือช่วยเหลือประชาชน ขณะที่งบประมาณเพื่อซ่อมปรับปรุงยุทโธปกรณ์มีเฉพาะที่ปรับปรุง ส่วนที่ล้าสมัย ขณะที่การซื้อทดแทนยุทโธปกรณ์ที่ไม่สามารถหาชิ้นส่วน หรือซ่อมแซมได้ เป็นไปตามแผนพัมนากองทัพ และเพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ คิดเป็น 1 ใน 3 กองกำลังที่มีทั้งหมด” พล.อ.ชัยชาญ ชี้แจง

พล.อ.ชัยชาญ ชี้แจงด้วยว่า สำหรับอำนาจหน้าที่หลักของกระทรวงกลาโหม คือ ป้องกันประเทศ, รักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ, การรักษาความมั่นคงภายในประเทศ และ การพัฒนาประเทศที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ กองทัพมีความจำเป็นเตรียมกำลังเพื่อดูแลความเรียบร้อย ประเมินภัยคุกคามเตรียมกำลังให้พร้อมมากกว่าการใช้กำลัง

โดยพิจารณาสถานการณ์และขีดความสามารถด้านงบประมาณ การเตรียมกำลังแนวคิดที่ว่าจะมีความพร้อม 1 ใน 3 คือ กองพล ลดระดับกรมที่มีความพร้อม คือ มีขีดความสามารถ มีอำนาจการยิง มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ มีอำนาจการติดต่อสื่อสารที่เข้าควบคุมสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ยุทโธปกรณ์ของกองทัพในอดีต ได้รับสนับสนุนและช่วยเหลือจากมิตรประเทศ และจัดหาบางส่วน ยุทโธปกรณ์ 

เช่น เฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ปัจจุบัน อายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป รถถังบางชนิด อายุการใช้งาน 40 - 50 ปี รถเกราะที่ใช้ ปัจจุบันมีอายุการใช้งาน 40 ปี เครื่องบินขับไล่ เอฟห้า ที่กองทัพอากาศใช้ มีอายุการใช้งาน 41 ปี เครื่องบินลำเลียง C 130 มีอายุใช้งาน 40 ปี ทั้งนี้ยุทโธปกรณ์ที่มีอายุที่ใช้งานเกิน 30 ปี มียอดรวมคิดเป็นร้อยละ 58 ดังนั้นในการจัดหาเพื่อทดแทนยุทโธปกรณ์ที่ชำรุด ไม่สามารถซ่อมได้ มีเพียง 1ใน 3 ของสิ่งที่มีทั้งหมด ทั้งนี้กองทัพยังเน้นการปรับปรุง และซ่อมแซมยุทโธปกรณ์ให้ใช้งานได้ต่อไป ทั้งที่ประเทศต้นกำเนิด ไม่ใช้แล้ว แต่การจัดหาเท่าที่จำเป็น เพื่อสอดคลองกับการใช้กำลัง