ไม่พบผลการค้นหา
ช่วงต้นเดือนม.ค. ทางการจีนจับกุมคนที่โพสต์ว่ามีโรคระบาดในเมืองอู่ฮั่น แต่ก็ไม่มีรายงานเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านี้บ้าง ด้านฮิวแมนไรท์วอทช์วิจารณ์ว่า รัฐบาลจีนปกปิดความจริง อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมสถานการณ์จึงแย่ลง

ไวรัสโคโรนาที่มีต้นตอการแพร่ระบาดจากเมืองอู่ฮั่นของจีน ทำให้มีข่าวปลอมที่ออกมาสร้างความหวาดกลัวให้กับคนทั่วโลก และทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาผิดเพี้ยนไป เช่น นิโคตินสามารถรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาได้ 

อย่างไรก็ตาม หลายคนก็ยังกังวลกับความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ทางการจีนประกาศต่อสาธารณะ หลังจากวันที่ 3 ม.ค. ตำรวจจีนได้จับกุมชาวอู่ฮั่น 8 คนในข้อหาปล่อยข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “โดยไม่มีการตรวจสอบข่าว” และขอให้ชาวอู่ฮั่นปฏิบัติตามกฎหมายและงดการกระจายข้อมูลผิดๆ

ชาวอู่ฮั่น 8 คนนี้ถูกจับกุมหลังจากโพสต์บนซินาเวยโป๋ โซเชียลมีเดียของจีนและในแอปพลิเคชั่นส่งข้อความต่างๆ ว่า โรคซาร์สได้กลับมาแล้ว และหลังจากถูกควบคุมไปมากกว่า 20 วัน ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นอย่างไรบ้าง สถาบันการศึกษาและวิจัยด้านสื่อสารมวลชน Poynter จึงได้ร่วมกับศูนย์ตรวจสอบข้อเท็จจริงของไต้หวันในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ 8 คนที่ถูกทางการจีนควบคุม

เมื่อปี 2003 ที่มีแพร่ระบาดของโรคซาร์ส รัฐบาลจีนพยายามปกปิดข่าวการแพร่ระบาดเป็นเวลานาน จนเจี่ยงย่างหย่ง แพทย์ที่ได้รับการยกย่องของจีนได้ออกมาเปิดเผยข่าวเกี่ยวกับการระบาดของโรคซาร์ส แล้วหาทางสู้กับโรคระบาด ทำให้หลายคนยังคงหวาดระแวงว่ารัฐบาลจีนพยายามจะปกปิดข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับการแพร่ะระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในครั้งนี้ด้วย 

รายงานว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาครั้งแรกมีตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. ซึ่งรายงานระบุว่าเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมทุกอย่างได้เป็นอย่างดี จนวันที่ 3 ม.ค. มีรายงานว่า 8 คนในเมืองอู่ฮั่นถูกจับกุม ซึ่งขณะนั้น มีคนอย่างน้อย 27 ที่มีอาการปอดอักเสบในเมืองอู่ฮั่น ตลาดสดที่ขายสัตว์ป่าก็ถูกทางการสั่งปิดไปแล้ว หลังมีการวินิจฉัยว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับอาการไข้หวัดลึกลับนี้ แต่ทางการจีนก็ยังคงปิดปากเงียบเกี่ยวกับเชื้อไวรัสนี้

ในช่วงสัปดาห์แรกของปี 2020 ทางการจีนก็ยอมรับว่ามีการผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเชื้อที่มาจากสัตว์ และไม่แพร่เชื้อจากคนสู่คน จนวันที่ 9 ม.ค. สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลง เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเมืองอู่ฮั่นเปิดเผยว่าชายวัย 61 ปีเสียชีวิตจากไวรัสตัวใหม่นี้เป็นคนแรก แต่รัฐบาลก็ยังไม่ออกมาแถลงอะไร กระทั่งวันที่ 20 ม.ค. ที่ผู้เชี่ยวชาญจากกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติจีนได้รับอนุญาตให้ในรายการข่าวของสำนักข่าวซีซีทีวี และเตือนประชาชนไม่ให้เดินทางไปเมืองอู่ฮั่น และคนที่อยู่ในอู่ฮั่นก็ไม่ควรเดินทางออกจากเมือง หากไม่มีอะไรเร่งด่วน

ต่อมาในวันที่ 23 ม.ค. เจ้าหน้าที่อู่ฮั่นตัดสินใจปิดระบบขนส่งสาธารณะชั่วคราว

ด้วยเหตุนี้ ประชาชนจึงไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะทางการไม่ค่อยให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากพอเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา ส่งผลให้คนเชื่อว่าโรคซาร์สกลับมา

Poynter และศูนย์ตรวจสอบข้อเท็จจริงของไต้หวันพบว่า หูสีจิ้น บรรณาธิการบริหารของสำนักข่าวโกลบอลไทม์ส สื่อของรัฐบาลจีนที่ตีพิมพ์ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ได้เขียนเกี่ยวกับการจับกุม “ผู้ปล่อยข่าวปลอม” บนเวยโป๋ 3 โพสต์ โดยโพสต์แรก เขาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและหวังว่าหน่วยงานความมั่นคงในเมืองอู่ฮั่นจะสอบสวนคดีนี้ใหม่อีกครั้ง หลังมีข้อเท็จจริงใหม่ปรากฏออกมาแล้ว ซึ่งอาจเป็นการให้ข้อมูลกับสังคมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

หลายชั่วโมงต่อมา หูสีจิ้นเปลี่ยนโทนให้เบาลง โดยระบุว่า ตำรวจอาจไม่มีสิทธิและไม่มีข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับโรคนี้ ขณะที่จับกุมคนทั้ง 8 คน และในคืนวันเดียวกัน หูสีจิ้นกล่าวว่า ได้พูดคุยกับแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อในกรมตำรวจ และ “ผู้ปล่อยข่าวปลอม” ได้ถูกเชิญไปสอบสวน ตอบคำถามไม่กี่คำถาม และกระบวนการทั้งหมดก็เป็นไปอย่างเป็นมิตร การสอบปากคำทั้งหมดมีการอัดคลิปไว้เป็นหลักฐานทั้งหมด เพื่อพิสูจน์ว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น 

นอกจากนี้ หูสีจิ้นยังระบุว่า “ผู้ปล่อยข่าวปลอม” ทั้ง 8 คนไม่ได้ถูกกักตัวไว้และไม่ได้ถูกลงโทษแต่อย่างใด และเขามองว่า คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ จึงเข้าใจได้ว่าจะสับสนระหว่างโรคซาร์สกับไวรัสตัวใหม่ ด้านเจ้าหน้าที่เองก็จำเป็นต้องรักษาสันติภาพ หลีกเลี่ยงความวิตกกังวล จึงต้องจับกุมคนเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม Poynter และศูนย์ตรวจสอบข้อเท็จจริงของไต้หวันไม่สามารถเข้าถึงคลิปการสอบปากคำได้ และข้อมูลทั้งหมดที่หูสีจิ้นเปิดเผยก็ไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้เช่นเดียวกัน

ด้านโซฟี ริชาร์ดสัน ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ในจีนก็วิพากษ์วิจารณ์เรื่องความโปร่งใสในการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาของทางการจีน โดยเธอกล่าวว่า การกักบริเวณคนทั้งเมืองอู่ฮั่นเพื่อควบคุมวิกฤตครั้งนี้ทำให้เกิดความน่าสงสัยเรื่องความโปร่งใส และในแง่มุมทางการแพทย์และสิทธิมนุษยชน การทำให้คนเชื่อถือข้อมูลที่มีถือเป็นสิ่งจำเป็นมากในสถานการณ์เช่นนี้ เธอรู้สึกกังวลว่าคนที่ถูกกล่าวหาว่า “กระจายข่าวลือ” ถูกเจ้าหน้าที่คุกคาม โดยเฉพาะในเวลาที่พวกเขากังวลว่าพวกเขาไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง

ริชาร์ดสันกล่าวว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขหลายคนที่ได้เตือนเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาไปตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ถูกควบคุมตัวหรือถูกสั่งระงับงานวิจัย เพราะไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบของรัฐบาลจีน พวกเขาถูกทำให้กลายเป็นพวกอนารยชน และการปิดปากผู้วิจารณ์รัฐบาลไม่เพียงแต่จะปกปิดความจริงเท่านั้น แต่ยังสร้างวัฒนธรรมแห่งความหวาดกลัว ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมสถานการณ์แย่ลงมาก

ที่มา : Poynter, Telegraph