ไม่พบผลการค้นหา
ไมค์ ภิรมย์พร นักร้องคนดัง เปิดแผนดำเนินชีวิต ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป จะเริ่มลดบทบาทในวงการเพลง เพิ่มเวลานำศาสตร์ความรู้ด้านการเกษตรถ่ายทอดให้กับชาวบ้าน เดินหน้าพัฒนาชุมชนให้ยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำงานในวงการเพลงเป็นนักร้องขวัญใจคนสู้ชีวิตมายาวนานมากกว่า 2 ทศวรรษ

ไมค์ ภิรมย์พร เจ้าของเสียงร้องเพลงดังอมตะมากมาย อาทิ ละครชีวิต, ยาใจคนจน, เหนื่อยไหมคนดี ฯลฯ แสดงความเห็นที่มีต่อวงการเพลงในปัจจุบันว่า มีการเคลื่อนตัวออกห่างจากอดีตไปมาก ลงลึกในสายลูกทุ่งเด็กรุ่นใหม่มีอิทธิพลสูงมากต่อวงการเพลง ทั้งในเรื่องของการฟังเพลง และการสร้างสรรค์งาน โดยมีช่องทางการนำเสนอผลงานออกสู่สาธารณชนง่ายกว่าในอดีตเป็นปัจจัยสำคัญ คนที่มีฝันอยากเป็นนักร้องไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าหาโอกาสเหมือนกับคนยุค ครูสุรพล สมบัติเจริญ, ทูล ทองใจ, สายัณห์ สัญญา, ยอดรัก สลักใจ พุ่มพวง ดวงจันทร์, เสรี รุ่งสว่าง ฯลฯ รวมถึงรุ่นเดียวกับตน การเปิดตัวเป็นนักร้องทุกวันนี้ไม่ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน มั่นใจว่าตนเองแต่งเพลงเป็นร้องเพลงเป็นก็ทำออกมาเผยแพร่สู่วงกว้างผ่านสื่อโซเชียลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนี้ต้องยอมรับว่า เพลงที่ถูกเรียกว่าแนวอินดี้ค่อนข้างจะมาเร็ว

ถามว่าการเคลื่อนตัวในวงการเพลงที่แตกต่างจากอดีตส่งผลกระทบต่อนักร้องรุ่นตนหรือไม่ มองว่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนต้องมีทั้งฝ่ายที่ได้รับประโยชน์ และได้รับผลกระทบเป็นเรื่องธรรมดา เป็นที่มาที่ทำให้ตนไม่ยึดติดกับความสำเร็จในอดีต และมีการวางแผนดำเนินชีวิตเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงมาพักใหญ่แล้ว 

“มันเป็นเรื่องธรรมดาทิศทางของการฟังเพลงมีการเปลี่ยนแปลงตลอด แต่ละยุคแต่ละสมัยการฟังเพลงไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ตัวศิลปินที่เดินบนเส้นทางบันเทิงต้องยอมรับให้ได้ และต้องมีการวางแผนเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลง จากเมื่อก่อนเราเคยเป็นเบอร์หนึ่ง มีความโดดเด่นบนเวที ในวันนี้ความโดดเด่นลดลง ก็ต้องหาทิศทางที่จะดำเนินชีวิต เพราะเราต้องอยู่ในสังคม ต้องหาอาชีพเสริม ทำไมผมถึงเลือกทำเกษตร ทำธุรกิจที่มีวัถุดิบมาจากผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมมีความถนัด และเป็นพื้นเพของตนเอง มาระยะหนึ่งแล้ว วันนี้หลายๆ คนน่าจะได้รับคำตอบนั้น” 

ไมค์ ภิรมย์พร

ในวัยย่าง 54 ปี เจ้าของฉายานักร้องขวัญใจผู้ใช้แรงงาน เผยแผนดำเนินชีวิตด้วยสายตาเปื้อนยิ้มว่า เขาตั้งใจที่จะลดบทบาทในวงการเพลงตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 เป็นต้นไป ไม่รับงานจับฉ่าย เพื่อเพิ่มเวลานำศาสตร์ความรู้เรื่องการเกษตรทั้งที่ได้รับสืบทอดมาจากครอบครัวตั้งแต่รุ่น ปู่ย่า ตายาย และพ่อแม่ รวมถึงที่ไปศึกษาเพิ่มเติมมาจากโครงการตามแนวพระราชดำริหลายแห่ง ไปถ่ายทอดให้กับคนในชุมชนต่างๆ ในจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อพัฒนาชุมชนให้มีความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 

“พูดตรงๆ ตั้งแต่ปีนี้จะลดบทบาทในวงการเพลงลงแล้ว ไม่รับงานเหมือนที่ผ่านมาแล้ว เน้นงานที่เป็นทางการหน่อย จะมาเน้นเรื่องการทำธุรกิจน้ำปลาร้า ทำการเกษตรในทุ่งนาของตนเอง และใช้เรื่องของการเกษตรพัฒนาชุมชนให้มีความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน ที่ผ่านมาก็ได้นำศาสตร์ความรู้เรื่องการเกษตรไปถ่ายทอดให้คนตามหมู่บ้าน นักเรียนในโรงเรียน อย่างต่อเนื่อง ส่วนผลงานเพลงไม่แน่ใจว่าจะมีสร้างสรรค์ออกมาหรือไม่ อาจจะมีกิจกรรมอื่นที่ถนัดนำเสนอสู่สังคมผ่านสื่อโซเชียล เช่นเรื่องของการเกษตรที่เรามีความถนัด นำเรื่องราวการทำเกษตรที่ช่วยพัฒนาคนในชุมชนให้มีความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน พาคนในชุมชนมาทำเพื่อสร้างสรรค์ชุมชนให้เติบโตไปพร้อมกับการมีคุณภาพชีวิตที่ดี” 

ไมค์ ภิรมย์พร บอกต่อว่า ความฝันของเขาในวันนี้ อยากเห็นสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘ชุมชนต้นคิดในแบบฉบับของไมค์ ภิรมย์พร’ สร้างความสุขที่แท้จริงให้กับคนในชนบท สามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนไปต่อสู้ชีวิตในเมืองใหญ่ 

เขาขยายความคำว่า ชุมชนต้นแบบในแบบฉบับของไมค์ ภิรมย์พร คือการที่คนในชุมชนดำรงชีวิตอยู่ได้กับธรรมชาติ มีกิน มีใช้ ปลอดหนี้สิน มีการทำเกษตรอินทรีย์ที่เป็นระบบ ปรับที่นาให้มีแหล่งน้ำเลี้ยงปลารวมทั้งใช้น้ำในการรดน้ำพืชพรรณต่างๆ ไปในตัว และสำหรับปลูกพืชอื่นๆ อาทิ มะนาว ตะไคร้ ทุกอย่างที่สามารถเก็บกินในนาเราได้ นำไปขายสร้างรายได้ครอบครัว เพิ่มเติมจากปลูกข้าวอย่างเดียว

“ก่อนจะมีความคิดนำความรู้ไปถ่ายทอดให้กับคนอื่น ผมทดลองทำแล้วมันเห็นผลเป็นรูปธรรม ที่นาของผม 20 ไร่ จัดสรรพื้นที่ด้วยการขุดบ่อน้ำ 3-4 บ่อ เหลือปลูกข้าวแค่ครึ่งเดียว เพราะต้องการเก็บน้ำไว้ใช้ ขอบบ่อปลูกไผ่ ตะไคร้ ข่า พวกพืชผักสวนครัวเอาไว้กินในครัวเรือนก่อน พอมันเยอะก็เก็บเอาไปขายมีรายได้เลี้ยงครอบครัวเพิ่มขึ้น ปลูกมะนาวในท่อซีเมนต์ออกลูกมา 7 รอบแล้ว เก็บแต่ละที 700-1,000 ลูก ขายลูกละ 5 บาท แม่ค้าพ่อค้าวิ่งไปซื้อกันแทบไม่ทัน” 

ไมค์ ภิรมย์พร

“ฟังผมพูดแล้วอาจมีคนคิดว่า ใช่สิไมค์มีเงินแล้วก็ทำได้ อยากบอกแบบนี้ว่า ก่อนหน้าที่ผมจะเป็นนักร้องผมก็ไม่มีเงิน เคยมีหนี้เหมือนกัน ครอบครัวก็ได้อาชีพเกษตรนี่แหละหารายได้ปลดหนี้ ต่อลมหายใจ ผมว่าถ้าเราจะทำเกษตรอย่าพูดเรื่องเงิน ถ้าตั้งใจทำไม่มีผิดหวังไม่มีขาดทุน การทำเกษตรอินทรีย์จะยั่งยืนไม่ต้องใช้ต้นทุนมากมาย เศษหญ้าเศษฟางคือวัตถุดิบชั้นดีที่นำมาหมักปุ๋ยได้ เป็นต้น ถ้าเป็นไปได้ในอนาคตผมอยากจะทำศูนย์การเรียนรู้ทางการเกษตรของผมเอง ให้ชาวบ้านได้มาศึกษา ผมไม่ใช่นักวิชาการ แต่ผมนำประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เห็นผลจับต้องได้จริงมาถ่ายทอด”