"ระบุตัวตนผู้ใช้ที่เป็นมนุษย์จริงๆ" คือประโยคที่ผู้ใช้งานทวิตเตอร์และผู้ที่เกี่ยวข้องกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด หลังการเข้าซื้อทวิตเตอร์ในราคา 1.5 ล้านล้านบาทโดย อีลอน มัสก์ เจ้าพ่อเทคโนโลยีและอภิมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก โดยทุกฝ่ายต่างมองหาความชัดเจนว่าทวิตเตอร์จะเปลี่ยนไปในทิศทางใด และการระบุตัวตนที่ว่าอาจเกิดขึ้นได้ในลักษณะใดบ้าง
แน่นอนว่ามัสก์เคยให้เหตุผลไว้แล้วหลายต่อหลายครั้งว่าเขามีความเชื่อมั่นใน 'ประชาธิปไตย' ซึ่ง 'เสรีภาพทางการพูด' คือหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญมากที่จะทำให้ประชาธิปไตยแข็งแกร่ง โดยต้องมาพร้อมกับความโปร่งใสและความชัดเจนว่าการแสดงความเห็นใดๆ มีใครอยู่เบื้องหลังการแสดงความเห็นนั้น และหากการแสดงความเห็นเกิดไปละเมิดหรือทำร้ายใครเข้า บุคคลคนนั้นจะได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบได้ทันทีและตรงไปตรงมา
อย่างไรก็ตาม หากทวิตเตอร์เดินเกมออกมาตรการบังคับผู้ใช้งาน 'ต้องระบุและเปิดเผยตัวตน' จริง กฎหมายนี้จะมีประโยชน์หรือโทษต่อสังคมอย่างไรบ้าง ซึ่งจากการพูดคุยกับนักวิเคราะห์ในหลากหลายวงการ สิ่งหนึ่งที่วอยซ์ได้ยินซ้ำๆ ก็คือ "ความปลอดภัยของประชาชน" โดยเฉพาะผู้ใช้งานทวิตเตอร์ใน 'ไทย'
สฤณี อาชวานันทกุล นักเขียน นักวิจัย นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และสิทธิมนุษยชน มองว่าความคิดนี้ของอีลอน มัสก์นั้นฟังดูดี แต่จริงๆ ยังคิดว่าน่าเป็นห่วงอยู่มาก เนื่องจาก 1) ทวิตเตอร์มี Algorithm และมาตรการที่จัดการกับ IO ได้อยู่แล้ว (อย่างที่เราเห็นตอนที่ทวิตเตอร์ลบบัญชีผู้ใช้ไปราว 900 กว่าบัญชีที่ระบุว่าเป็น IO ของกองทัพไทย) ดังนั้นเธอจึงเห็นว่าน่าจะสามารถพัฒนาระบบของตัวเองให้เก่งกว่านี้ได้
2) การบังคับยืนยันตัวตน จะเป็นอุปสรรคกับคนที่ใช้ 'แอคหลุม' เพื่อปกป้องตัวเองจากผู้มีอำนาจ เช่น ผู้ให้เบาะแสคอรัปชัน หรือนักสิทธิมนุษยชน เป็นต้น
3) ไม่แน่ใจว่า "เสรีภาพ" ในทัศนะของอีลอน มัสก์ จะเป็น "เสรีนิยม" (liberal) หรือสุดขั้วแบบ "อิสรนิยม" (libertarian) มากกว่ากัน ในมุมมองของสฤณีมองว่าเป็นอย่างหลังมากกว่า หากเป็นเช่นนั้นก็อันตรายเพราะอาจเชื่อแค่ว่าลำพังการให้ยืนยันตัวตนก็เพียงพอแล้วที่จะให้ทุกคนมี "ความรับผิดชอบ" ต่อเสรีภาพในการแสดงออกของตัวเอง บริษัท (และรัฐ) ไม่ต้องทำอะไรอีก คำถามคือถ้าคิดแค่นี้จะช่วยแก้ปัญหาอย่าง Cyberbullying, Hate Speech, Disinformation ฯลฯ ได้หรือไม่ สฤณีชี้ว่าต้องรอดูต่อไปว่าจะมีมาตรการอะไรออกมาอีกไหม นอกจาก "การให้ยืนยันตัวตน"
ช่อ พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า มองว่าการมีมาตรการกำจัดบัญชีปลอมและ 'แอคหลุม' ตามหลักการคือสิ่งที่ควรทำ เพราะเป็นกลุ่มที่สร้างปัญหามากมายและสร้างความ 'เป็นพิษ' ต่อบทสนทนาของผู้ใช้ทั่วไปในการพูดคุยประเด็นต่างๆ อย่างจริงจัง "แต่มันเป็นความคิดของคนที่อยู่ในโลกประชาธิปไตยซึ่งไม่เข้าใจคนที่อยู่ในโลกที่ผู้นำเผด็จการมันทำอะไรกับเราก็ได้"
"ลองคิดดูว่าทำไมคนจำนวนมากถึงต้องใช้ทวิตเตอร์เป็นช่องทางในการต่อสู้กับรัฐบาลของตัวเองที่เป็นรัฐบาลที่กดขี่ เพราะว่ารัฐบาลถือกฎหมายใช่ไหม ถ้าคุณทวีตอะไรไปโดยใช้ตัวจริงคุณมีสิทธิ์โดนจับ คุณมีสิทธิ์โดน พรบ.คอมฯ ถ้าคุณอยู่ประเทศไทยใช่ไหม" พรรณิการ์กล่าว
เธออธิบายต่อว่า "เพราะฉะนั้นในหลักการมันถูกต้องแล้วที่เราจะต้องไม่มีแอคหลุม แต่เอาจริงๆ ทั้งในทางหลักการและในทางปฏิบัติ(อีกรูปแบบนึง) ถ้าคุณเชื่อในหลักเสรีภาพจริงๆ คนเราก็มีสิทธิเสรีภาพที่จะมี 'ความนิรนาม' เพราะว่าเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตน เมื่อเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนคุณจะไปบังคับให้เขาเปิดเผยตัวตนได้อย่างไร"
"สมมุติคุณสู้กับปูตินอยู่ แล้วปูตินเอาคดีอะไรมายัดคุณก็ได้ จะจับคุณเข้าคุกก็ได้ คุณก็เลยจำเป็นต้องใช้บัญชีปลอม เรื่องนี้จึงเป็นดาบสองคม ไม่ใช่เราไม่เข้าใจแต่เป็นเพราะเราเข้าใจมากๆ และพูดในฐานะคนที่อยู่ในประเทศที่ผู้นำไม่ได้แฟร์กับเรา ประเทศที่ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแล้วกลายเป็นอาชญากรมันเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นจริงๆ"
"ใช่ เราก็ไม่อยากมีแอคหลุมหรือไอโอจากรัฐบาลมาโจมตีเรา แต่ในขณะเดียวกันเมื่อเราไม่สามารถมีบัญชีที่เป็นนิรนามเอาไว้ใช้ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้แล้ว ทุกคำพูดของคุณก็คือเสี่ยงที่จะถูก พรบ.คอมฯ หรือแม้แต่มาตรา 112 และ 116 ซึ่งเป็นคดีร้ายแรงได้" พรรณิการ์ระบุ
นิรันดร์ ประวิทธนา ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของบริษัท AVA Advisory ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและผู้เปลี่ยนโฉมการลงทุนด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มองว่าสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมี 2 ประเด็น ซึ่งเป็นการมองไปข้างหน้าในเบื้องต้นเพราะตอนนี้ยังขาดความชัดเจนในแนวทางจริงๆ ของมัสก์
ประเด็นแรกคือเรื่อง 'Human Verification' คือการยืนยันตัวตนว่าเป็นมนุษย์ไม่ใช่ Bot ซึ่งในกรณีนี้นิรันดร์ค่อนข้างเห็นด้วยและสนับสนุน 100% เพราะจะสามารถกำจัดผู้ใช้งานที่เป็นสแปมหรือบอท และ IO ไปได้มาก
ส่วนในกรณีที่ 2 คือเรื่อง 'KYC' หรือการยืนยันตัวบุคคล "อันนี้ผมคิดว่าอันตรายพอสมควรกับประเทศที่ไม่ได้มีเสรีภาพทางการพูด เพราะอาจนำไปสู่การถูกลงโทษทางกฎหมายได้ง่าย บนแพลตฟอร์มของทวิตเตอร์เองคงให้มี Free Speech มากขึ้นแหละ แต่สำหรับรัฐบาลของแต่ละประเทศเองอาจมองอีกแบบ" นิรันดร์กล่าว
อาจารย์ธง ฐิติพงษ์ ด้วงคง อาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิชาการด้านสตรี และลาตินอเมริกา มองว่าหากกฎบังคับระบุตัวตนเกิดขึ้นจริง จะส่งผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ไม่ประสงค์จะเผยอัตลักษณ์ที่แท้จริงและเสพวัฒนธรรมของโลกทวิตเตอร์ด้วยอัตลักษณ์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ (Made Identity) ไม่ว่าจะร่างอวตารหรือนามแฝง
"คำพูดที่มัสก์ประกาศออกมาว่าประสงค์จะให้ผู้ใช้ของทวิตเตอร์ทั้งหมดระบุตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นมนุษย์ "..authenticate all real humans.." ก็น่าจะทำให้ทวิตเตอร์จำต้องสร้างข้อจำกัดในการใช้งานของตัวเอง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการเติบโตของกิจการและบรรยากาศการใช้ทวิตเตอร์แบบเก่าก่อน พร้อมกันนี้ระบบในการคัดกรองอัตลักษณ์หรือไอดีของคนที่เป็นผู้ใช้ก็คงจะต้องกระทำด้วยความยินยอมและต้องสร้างระบบที่ปลอดภัยมากๆ ในการรักษาฐานข้อมูลผู้ใช้ ไม่ให้รั่วไหลหรือถูกขโมย"
อาจารย์ธงยังชี้ด้วยว่าในไทยเองก็น่าจะมีจำนวนผู้ใช้งานไม่น้อยที่อาศัยพื้นที่ในทวิตเตอร์ในการเคลื่อนไหวและประกอบกิจการทั้งทางการเมือง และธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่ว่าด้วยเนื้อหาในทางเพศ (Sex Content Creator) ซึ่งในไทยถือว่ายังไม่ถูกต้องตามกฎหมาย "หากทวิตเตอร์ระบุให้เขาใช้ตัวตนจริงและการยืนยันข้อมูลส่วนตัว ผู้ใช้กลุ่มนี้คงได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนทั้งในมิติกฎหมายและความเป็นส่วนตัว"
อย่างไรอาจารย์ธงชี้ว่า หากมองในแง่ของการติดตามอาชกรรมทางไซเบอร์ ก็อาจจะทำให้การสอบสวนและติดตามผลเป็นไปได้เร็วและดียิ่งขึ้นหากมีคดีที่เป็นภัยต่อสังคม "แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติงานของหน่วยงานรัฐด้วย"
ขณะที่ อาจารย์เคท ครั้งพิบูลย์ อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่าการระบุตัวตนเป็นเรื่องความปลอดภัย ถ้าใช้มาตรการต้องเปิดเผยตัวตนบนทวิตเตอร์ ในทางอัตลักษณ์ทางเพศและเพศวิถีจะปลอดจริงไหม? หากต้องบอกว่าเราคือใครในพื้นที่ไม่รู้จะปลอดภัยหรือไม่นั้นคือเรื่องสำคัญ