ไม่พบผลการค้นหา
คณะทำงานเฉพาะกิจของ 'ก้าวไกล' เผยน้ำเกินความจุ 'เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์' แล้ว พร้อมวิจารณ์ว่า ภาครัฐยังประชาสัมพันธ์อ่อนเกินไป ควรเตือนภัยให้ถึงประชาชน ขณะเตือน จ.ลพบุรี-สระบุรี เสี่ยงน้ำท่วม

สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส. บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรค ในฐานะประธานคณะทำงานเฉพาะกิจ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า หลังจากที่พรรคก้าวไกล ได้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจติดตามสถานการณ์น้ำท่วม และได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดขณะนี้คณะทำงานเห็นว่า มีพื้นที่เสี่ยงเพิ่มเติมคือ พื้นที่ท้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ บริเวณจังหวัดลพบุรีและสระบุรี จึงต้องเร่งออกประกาศเตือนประชาชน

สุรเชษฐ์ อธิบายว่า หากย้อนไปก่อนหน้านี้ เขื่อนป่าสักฯ ยังเหลือความจุให้กักเก็บน้ำอยู่มาก โดยก่อนพายุเตี้ยนหมู่จะมาถึง เขื่อนป่าสักฯ มีน้ำอยู่เพียง 427 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งไม่ถึงครึ่งหนึ่งของความจุเขื่อน แต่เมื่อพายุมาถึงทำให้ปริมาณน้ำเข้าเขื่อนเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 ล้านลูกบาศก์เมตรในแต่ละวัน โดยรับน้ำมาจากอำเภอหล่มสัก อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ และอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี วันเดียวมีน้ำเข้า 209 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้เช้าวันที่ 29 กันยายน เขื่อนป่าสักฯ มีน้ำเก็บกักอยูที่ 953 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นกว่า 99% ของปริมาณเก็บกักสูงสุดที่ 960 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งหมายความว่า ณ วินาทีนี้ เขื่อนป่าสักฯ น้ำเกินความจุไปแล้ว ถ้าเก็บน้ำเพิ่มกว่านี้ก็จะเป็นจุดเสี่ยงที่เผื่อความจุน้ำไว้ที่ 1,080 ล้านลูกบาศก์เมตร ที่เหลือคือ น้ำล้นออกจากเขื่อนมายังท้ายเขื่อนทั้งหมด และควบคุมไม่ได้

สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สถานการณ์ตอนนี้เหมือนน้ำเต็มแก้ว น้ำที่เข้ามาทุกวัน วันละหลักร้อยจะมีอีก 1-2 วัน แล้วถามว่าน้ำเหล่านี้จะไปไหนต่อ? คณะทำงานของเราคาดว่า ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำป่าสักระหว่างเขื่อนป่าสักฯ และเขื่อนพระราม 6 จะได้รับผลกระทบทันที เพราะน้ำล้นไปแล้ว น้ำจะมาอีกเท่าไรก็ไหลลงต่อไปเท่านั้น เพราะเขื่อนป่าสักฯ เก็บน้ำเพิ่มไม่ได้

“บริเวณที่ได้รับผลกระทบทันที ได้แก่ ริมสองฝั่งแม่น้ำป่าสักบริเวณอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี อำเภอวังม่วง อำเภอแก่งคอย อำเภอเมือง อำเภอเสาไห้ และอำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ขอให้ประชาชนที่อาศัยบริเวณดังกล่าวเตรียมรับมือ โดยขณะนี้หน่วยงานรัฐได้ออกประกาศเตือนภัยแล้ว แต่การประชาสัมพันธ์อ่อนมากจนไม่ถึงหูประชาชน" สุรเชษฐ์ กล่าว

สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เมื่อลพบุรีกับสระบุรีท่วมแล้ว ผ่านเขื่อนพระราม 6 ก็จะมาถึงอยุธยา ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันท้ายเขื่อนพระราม 6 ก็มีปริมาณน้ำมากเช่นกัน แต่เมื่อมวลน้ำมาถึงอยุธยาน่าจะไม่ได้ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงมากนัก เพราะเป็นพื้นที่กว้างและแผ่ออก น้ำมีทางไปสองทาง คือไปบรรจบแม่น้ำเจ้าพระยา หรือเข้าทางคลองระพีพัฒน์ แต่ปริมาณน้ำเท่านี้ยังไม่น่าจะส่งผลมาถึงกรุงเทพฯ เพราะปัจจุบัน คลองระพีพัฒน์เป็นต้นมายังสามารถรับน้ำได้อีกพอสมควร

"สรุปสถานการณ์ในปัจจุบัน สองฝั่งริมแม่น้ำป่าสักในพื้นที่ลพบุรีและสระบุรีจะได้รับผลกระทบทันที ส่วนอยุธยาจะได้รับผลกระทบในลำดับถัดไป ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมและทันท่วงที" สุรเชษฐ์ ระบุ