ไม่พบผลการค้นหา
กระทรวงพาณิชย์ ย้ำ สหรัฐฯ ตัดสิทธิ GSP รอบใหม่ มีสินค้าได้รับผลกระทบแค่ 141 รายการ มูลค่า 600 ล้านบาท ไม่ใช่ 25,000 ล้านบาท ยังตอบไม่ได้อีก 600 รายการที่เหลือจะได้รับต่ออายุรอบพิจารณาใหม่สิ้นปีนี้หรือไม่ เดินหน้าหารือสหรัฐฯ ชี้ถ้าตัดสิทธิไทยคนในสหรัฐฯ ก็ต้องซื้อของแพงขึ้น

กีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากกรณีที่สหรัฐอเมริกาตัดสิทธิ GSP ของไทย โดยมีสาเหตุการจากการเปิดตลาดสินค้าและบริการประเด็นการเปิดตลาดเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ โดยจะมีผลตั้งแต่ 30 ธ.ค. 2563 เป็นต้นไป ว่าการตัดสิทธิดังกล่าวมีจำนวน 231 รายการ แต่เป็นสินค้นไทยที่ใช้สิทธิจริงแค่ 147 รายการ คิดเป็นภาษที่จะต้องกลับไปเสียในอัตราปกติเพิ่มขึ้น 3-4 % มูลค่าประมาณ 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 600 ล้านบาท ไม่ใช่ 25,000 ล้านบาทตามที่ปรากฏเป็นข่าว โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบ อาทิ อุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์ ส่วนประกอบพวงมาลัยรถยนต์ เคมีภัณฑ์ รวมถึงที่นอนและฟูกทำด้วยยางหรือพลาสติก เป็นต้น

ทั้งนี้ที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้ให้สิทธิ GSP กับสินค้าไทยทั้งหมด 3,500 รายการ แต่ไทยใช้สิทธิจริงเพียง 1,107 รายการ ซึ่งเมื่อหักการตัดสิทธิรอบแรกไปเมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2563 จำนวน 315 รายการ และ 141 รายการรอบล่าสุด จะเหลือ 645 รายการ รวมมูลค่าการส่งออกประมาณ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งในส่วนนี้จะมีการพิจารณาต่ออายุในช่วงสิ้นปีนี้ โดยปกติสหรัฐฯจะมีการพิจารณาต่ออายุการให้สิทธิ GSP เป็นแบบบังคับใช้ทั้งหมด (apply to all) ซึ่งไม่มียกเว้นประเทศใดประเทศหนึ่งที่จะไม่ได้รับสิทธิต่อ เพียงแต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าสินค้าที้เหลือของไทยจะยังได้รับสิทธิ GSP ต่อหรือไม่ แต่อีก 26 ประเทศ ซึ่งรวมไทยได้มีการส่งหนังสือให้สหรัฐฯพิจารณาต่ออายุการให้สิทธิดังกล่าวออกไปแล้ว

ส่วนประเด็นที่สหรัฐฯตัดสิทธิ GSP ของไทยล่าสุด เนื่องจากไม่เปิดตลาดเนื้อสุกร ซึ่งปรากฎไทยเป็นเพียงประเทศเดียวที่ถูกตัดในประเด็นนี้จากการร้องเรียนของผู้เลี้ยงสุกรในสหรัฐฯ เบื้องต้นอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ยังไม่สามารถระบุได้ว่าไทยจะดำเนินการตามที่สหรัฐฯต้องการได้หรือไม่ เนื่องจากยังต้องพิจารณาถึงปัจจัยด้านสุขอาณามัยของคนในประเทศเป็นสำคัญมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐเพียงอย่างเดียว แต่ไทยจะมีการหารือกับสหรัฐฯ เพื่อให้เห็นว่าหากตัดสิทธิไทยคนในสหรัฐฯ ก็ต้องซื้อของแพงขึ้น

อย่างไรก็ตามแม้ว่าไทยจะถูกตัดสิทธิ GSP แต่จากการตรวจสอบการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ในรายชื่อที่ถูกตัดสิทธิเมื่อเดือน เม.ย. 2563 ใน 20 อันดับแรก พบว่ามี 9 รายการที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น ในขณะสิ้นค้าที่ติดลบ 20 อันดับแรก มีการเจริญเติบโตได้ในตลาดใหม่ ดังนั้นจึงเชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการจะสามารถปรับตัวได้ ซึ่งขณะนี้ก็มีการชี้แจงผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบแล้ว