ไม่พบผลการค้นหา
เทียบชัดๆ นโยบายระหว่าง 'โดนัลด์ ทรัมป์' กับ 'โจ ไบเดน' ประเด็นสำคัญเรื่องไหนที่ทั้งสองจะไม่ 'ประนีประนอม' หากได้ครองเก้าอี้ทำเนียบขาว

ใกล้ถึงวันชี้ชะตาอนาคตการเมืองสหรัฐฯ ซึ่งจะบอกว่าชาวอเมริกันอยากได้การสานต่อนโยบายของประธานาธิบดีโดนัดล์ ทรัมป์ หรืออยากได้ความหวังใหม่ๆ กับนโนบายของโจ ไบเดน ‘วอยซ์ออนไลน์’ พาไปเปรียบเทียบว่าประธานาธิบดีทรัมป์ กับ โจ ไบเดน ในประเด็นต่างๆ ตั้งแต่นโยบายสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงภาษี ผู้ลี้ภัย รัฐสวัสดิการ และต่างประเทศ ว่าใครมี 'จุดยืน' ที่ไม่ยอมประนีประนอมในเรื่องใดบ้าง


ภาษี

ทั้งสองฝ่ายมีจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างมากในเรื่องของนโยบายภาษี โดยมีเงินหลายล้านล้านดอลลาร์เป็นเดิมพัน ทรัมป์ต้องการสานต่อความสำเร็จจากนโยบายลดภาษีปี 2560 ซึ่งลดภาษีให้กับภาคธุรกิจและภาษีเงินได้บุคคลด้วยการผลักดันนโยบายลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลงโดยเฉพาะกับคนรวยที่มีรายได้สูง จาก 39.6% เหลือ 37%

สวนทางกับไบเดนที่เสนอนโยบายขึ้นภาษีสำหรับบริษัทขนาดใหญ่และบุคคลผู้มีรายได้สูง เพื่อใช้จ่ายกับโครงการที่เป็นรัฐสวัสดิการ


ผู้ลี้ภัย

แน่นอนว่าทรัมป์มีจุดยืนที่ไม่ยอมประนีประนอมกับนโยบายการเปิดรับผู้ลี้ภัย เห็นได้จากโครงการสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ซึ่งจะเดินหน้าต่อไปอย่างแน่นอน หากได้รับเลือกสมัยสอง เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการกีดกันผู้อพยพต่างด้าวเพื่อสกัดแรงงานอพยพผิดกฎหมาย รวมถึงสกัดกลุ่มผู้อพยพที่เป็น Dreamers หรือผู้เยาว์ต่างด้าวที่หวังจะได้สถานะพลเมือง ไปจนถึงขึ้นที่อาจยุตินโยบาย Visa Lottery แก่ชาวต่างชาติ

ตรงข้ามกับไบเดน ที่สนับสนุนนโยบายผู้อพยพสู่การเป็นพลเมืองสหรัฐฯ โดยไบเดนให้คำมั่นว่า หากได้รับตำแหน่งจะผลักดันแผนการรับผู้อพยพเข้าเป็นพลเมือง โดยเฉพาะ Dreamers ในอเมริกาที่มีอยู่ที่ 11 ล้านคน จะให้มีสิทธิรับความช่วยเหลือด้านการศึกษาและหางานทำเพื่อปูทางสู่การได้สถานะพลเมืองถาวร

โจ ไบเดน_รอยเตอร์


โอบามาแคร์

ไบเดน รับปากว่าจะสนับสนุนระบบประกันสุขภาพโอบามาแคร์ ด้วยการเพิ่มวงเงินอีก 750 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปี โดยอาศัยเงินสนับสนุนมาตรการเพิ่มภาษีคนรวย ไบเดนยังต้องการลดอายุของผู้มีสิทธิเข้าถึงเมดิแคร์ (Medicare) จาก 65 ปีขึ้นไป เหลือ 60 ปีขึ้นไป รวมถึงต้องการให้ชาวอเมริกันมีสิทธิเข้าถึงแผนประกันสุขภาพรูปแบบอื่นๆ ที่คล้ายกับเมดิแคร์ด้วย แต่นโยบายนี้อาจต้องแลกมาซึ่งงบประมาณก้อนมหึมาที่้ต้องใช้

ขณะที่ทรัมป์ต้องการทำลายแผนโอบามาแคร์ ด้วยการเพิ่มระเบียบของรัฐบาลกลางเข้าไปในระบบประกันสุขภาพของเอกชน โดยทรัมป์ระบุว่าต้องการเปลี่ยนให้โอบามาแคร์ดีขึ้น แต่ตลอดการหาเสียงก็ไม่ได้เผยรายละเอียดใดๆ ที่ชัดเจนในเรื่องนี้


สิ่งแวดล้อม

ไบเดนให้คำมั่นว่า ทันทีที่ได้รับเลือกเขาจะนำสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ความร่วมมือในข้อตกลงปารีสอีกครั้ง โดยตั้งเป้าให้สหรัฐฯ มุ่งสู่ประเทศปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2578 ลดทอนการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล หันไปสู่การทุ่นเงินลงทุนกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานทางเลือก

ส่วนทรัมป์ผู้ซึ่งไม่มีความเชื่อเรื่องโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถึงขั้นไม่มีนโยบายนี้อยู่ในแคมเปญหาเสียง โดยทรัมป์เคยแสดงความต้องการขยายการใช้พลังงานฟอสซิล ด้วยการตั้งเป้าเพิ่มอัตราการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ดี ก.ย.ที่ผ่านมา เขาเคยกล่าวยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมีส่วนในเหตุไฟป่าในแถบพื้นที่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ รวมถึงทรัมป์มีจุดยืนเดียวกับไบเดนที่สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ชั้นสูงเพื่อเป็นพลังงานทดแทน

สีจิ้นผิง - โดนัลด์ ทรัมป์ - รอยเตอร์ส - สงครมการค้า


การต่างประเทศ

ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญของสหรัฐฯ ในบทบาทเวทีโลก และเป็นที่สนใจของประชาคมโลก โดยเฉพาะนโยบายเกี่ยวกับจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งไบเดน ได้โจมตีการบริหารของทรัมป์ว่าทำให้สหรัฐสูญเสียภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นบนเวทีโลก ซึ่งเขาให้คำมั่นฟื้นฟูความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตรต่างๆ รวมถึงมีแผนเปลี่ยนนโยบายภาษีฝ่ายเดียวกับจีน และฟื้นสัมพันธ์กับจีนอีกครั้ง เนื่องจากไบเดนมองว่า สหรัฐยังต้องมีบทบาทในการรักษาสันติภาพโลกเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐ

ส่วนทรัมป์ยังคงมีจุดยืนนโยบายต่างประเทศแบบ "อเมริกา เฟิร์ส" ที่จะไม่ประนีประนอมกับจีนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าที่จะใช้มาตรการทางภาษีกดดันจีนต่อเนื่อง นอกจากนี้ทรัมปยังคงยืนยันคำมั่นลดระดับกำลังพลของกองทัพสหรัฐฯ ที่ประจำการในต่างแดนลง อย่างไรก็ตาม เขายืนยันจะเพิ่มเงินสนับสนุนต่อกองทัพให้มากขึ้น

ทรัมป์ ไบเดน เลือกตั้ง.jpg

ปัญหาเชื้อชาติและสีผิว

หลังเกิดกรณีประท้วงเรียกร้องความยุติธรรมให้กับ 'จอร์จ ฟลอยด์' ที่ก่อให้เกิดการประท้วงใหญ่ไปทั่วประเทศ ทรัมป์ได้แสดงความคิดเห็นโดยไม่เชื่อว่าการเหยียดสีผิวเป็นปัญหา ทรัมป์ได้แสดงความเห็นใจและเข้าข้างฝ่ายตำรวจ ภายใต้ความเชื่อว่าความสงบสุขประเทศต้องอยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ซึ่งตำรวจอาจกระทบกระทั่งหรือใช้ความรุนแรงบ้าง แต่อย่างไรก็ตามทรัมป์ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงจนเสียชีวิต ทั้งยืนยันมาตลอดว่า เขาไม่ได้เป็นคนเหยียดเชื้อชาติ หรือเป็นตัวแทนของกลุ่มที่เชื่อเรื่อง 'ความสูงส่งของคนขาว' (White Supremacy) ทรัมป์เคยกล่าวในการดีเบตครั้งสุดท้ายว่า "ในห้องนี้ ผมเป็นคนเหยียดผิวน้อยที่สุดแล้ว" หรือ "I am the least racist person in this room"

อย่างไรก็ดี สำหรับไบเดนแล้ว มองปัญหาเรื่องสีผิวต่างออกไปจากทรัมป์โดยสิ้นเชิง ไบเดนผู้ซึ่งไม่ยอมประนีประนอมกับปัญหาเหยียดเชื้อชาติ เขามองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง นโยบายและการปฏิบัติของตำรวจที่มีต่อคนผิวสี โดยมองว่าคนผิวสีไม่ได้รับความเท่าเทียมในระบบยุติธรรม ไบเดนได้เสนอนโยบายต่างๆเ พื่อจัดการกับความไม่เสมอภาคทางเชื้อชาติในกระบวนการยุติธรรม เช่น นโยบายให้ผู้เสพยาถือเป็นผู้ป่วย ไม่ใช่อาชญากร หรือ เสนอระบบประกันตัวสู้คดีโดยไม่ต้องวางเงินประกัน