ไม่พบผลการค้นหา
“รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ” ชี้ข้อเรียกร้องกลุ่มราษฎร์ 63 เป็น “ปฏิปักษ์” ต่อสถาบันฯ เหตุก้าวล่วงรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 เข้าข่ายผิดป.อาญา มาตรา 116

ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ให้ความเห็นว่าการที่แกนนำกลุ่มราษฏร์ 63 เสนอให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ โดยมีข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อและได้นำขึ้นกล่าวปลุกระดมมวลชนในสถานที่ชุมนุมต่างๆหลายแห่ง ตนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 116 ซึ่งบัญญัติว่า ”ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญหรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต (3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี” 


ยกคดียุบไทยรักษาชาติ

ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า โดยมีข้อกฎหมาย ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2562 วันที่ 7 มี.ค. 2562 คดียุบพรรคไทยรักษาชาติ ในหน้าที่ 19 “ถ้าพรรคการเมืองใดมีการกระทำที่เป็นการล้มล้าง หรือ เพียง “อาจเป็นปฏิปักษ์” ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และอีกตอนวินิจฉัยว่า “จะอ้างความไม่รู้ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือความเห็นความเชื่อของตนมาเป็นข้อแก้ตัวให้หลุดพ้นจากความรับผิดชอบต่อการกระทำนั้นไม่ได้”

และในหน้าที่ 20 ศาลวินิจฉัยว่า “ส่วนคำว่า “ปฏิปักษ์” นั้นไม่จำต้องรุนแรงถึงขนาดมีเจตนาที่จะล้มล้างทำลายให้สิ้นไป ทั้งยังไม่จำต้องถึงขนาดตั้งตนเป็นศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น เพียงแต่เป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการขัดขวางหรือสกัดกั้นมิให้เจริญก้าวหน้า หรือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย จนเกิดความชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง ก็เข้าลักษณะของการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ได้แล้ว 

สำหรับประเด็นเรื่องเจตนานั้น เมื่อมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) บัญญัติชัดเจนว่า เพียงแค่ “อาจเป็นปฏิปักษ์” ก็ต้องห้ามแล้ว หาจำต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผล หรือต้องรอให้เกิดผลเสียหายร้ายแรงขึ้นจริงเสียก่อนไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นมาตรการป้องกันความเสียหายร้ายแรงที่อาจเกิดแก่สถาบันหลักของประเทศไว้ก่อน จึงเห็นได้ว่าข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ให้ปฏิรูปสถาบันฯล้วนแต่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันฯทั้งสิ้น ดังนั้น การกระทำของแกนนำกลุ่มราษฎร์ 63 จึงเท่ากับตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันฯ มิใช่เป็นการกระทำเพื่อปฏิรูปสถาบันฯอย่างที่กล่าวอ้าง 

ปลุกคนรักสถานบันโร่แจ้งความ

ตนจึงเสนอข้อกฎหมายให้ประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่อยู่ในกรุงเทพและในต่างจังหวัด 76 จังหวัด ทั่วทั้งประเทศหลายสิบล้านคน ให้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ หมวด 4 หน้าที่ปวงชนชาวไทย มาตรา 50 (1) บัญญัติว่า “บุคคลมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (1) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” 

โดยหากพบว่ามีแกนนำกลุ่มราษฎร์ 63 หรือเรียกชื่ออื่นก็ตาม ที่มีพฤติการณ์จัดชุมนุม และเรียกร้องปฏิรูปสถาบันฯ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามที่กล่าวมาข้างต้น ขอให้ประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ สามารถไปร้องทุกข์กล่าวโทษเอาผิดกับแกนนำผู้ชุมนุมเหล่านั้น ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 เพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต้องยุติการกระทำที่ผิดกฎหมายดังกล่าว

อ่านเพิ่มเติม