ไม่พบผลการค้นหา
มหาเศรษฐีมากกว่า 80 คนทั่วโลกร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้รัฐบาลเก็บภาษีพวกเขาเพิ่ม เพื่อให้มีเงินไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

กลุ่ม ‘เศรษฐีเพื่อมนุษยธรรม’ เขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้มีการเก็บภาษีคนรวยเพิ่ม เพื่อให้รัฐมีเงินไปฟื้นฟูประเทศจากวิกฤตไวรัสโคโรนา โดยระบุว่า การบริจาคเงินให้การกุศลไม่ใช่วิธีแก้ที่ถูกต้อง แต่วิธีการสร้างระบบสาธารณสุข โรงเรียน และความมั่นคงขึ้นมาใหม่จะต้องมาจากการเก็บภาษีคนที่รวยที่สุดในโลก “แบบพวกเรา” อย่างเร่งด่วน จริงจังและถาวร

จดหมายดังกล่าวระบุว่า เศรษฐีที่ร่วมลงนาม “ไม่ได้ขับรถพยาบาลไปส่งคนป่วยที่โรงพยาบาล เราไม่ได้นำของไปสต็อกบนชั้นขายของ หรือไปส่งอาหารตามบ้าน แต่เรามีเงินเยอะมาก” และพวกเขาเตือนว่า จะต้องมีการสร้างสมดุลของโลกใหม่ก่อนที่จะสายเกินไป เนื่องจากคนหลายล้านคนจะตกงานเมื่อธุรกิจต้องปิดชั่วคราวหรือถาวร ผู้นำประเทศต่างๆ จะต้องรับผิดชอบในการเพิ่มงบประมาณและใช้อย่างยุติธรรม

จดหมายนี้ ยังลงท้ายอีกว่า “เก็บภาษีพวกเรา เก็บภาษีพวกเรา เก็บภาษีพวกเรา นี่เป็นทางเลือกที่ถูกต้อง นี่เป็นทางเลือกเดียว มนุษยธรรมสำคัญกว่าเงินของพวกเรา”

จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้เป็นความพยายามระหว่างกลุ่มเศรษฐีเพื่อมนุษยธรรม, อ็อกซ์แฟม, ความยุติธรรมทางภาษีอังกฤษ และเศรษฐีรักชาติ ซึ่งเป็นองค์กรของคนรวยในสหรัฐฯ และนำมาเผยแพร่ก่อนที่จะมีการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ในกลุ่มประเทศจี 20 และประชุมซัมมิตผู้นำสหภาพยุโรปสัปดาห์นี้

เศรษฐีที่ร่วมลงชื่อในจดหมายนี้ 83 คนทั่วโลก โดยส่วนใหญ่อยู่ในอังกฤษ สหรัฐฯ แคนาดา เยอรมนี นิวซีแลนด์ ในจำนวนมีทั้งดร.มาเรียนา โบเซซาน นักลงทุนสตาร์ทอัพชาวเยอรมัน, รีชาร์ด เคอร์ทิส นักเขียนบทและผู้กำกับชาวอังกฤษ, แอบิเกล ดิสนีย์ ทายาทวอล์ท ดิสนีย์, เจอร์รี กรีนฟิลด์ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ไอกรีมเบน แอนด์ เจอร์รีส์ และมอร์ริส เพิร์ล อดีตผู้อำนวยการบริหารบริษัทแบล็กร็อกและประธานกลุ่มเศรษฐีรักชาติ เป็นต้น

มอร์ริส เพิร์ลกล่าวว่า คนพูดว่า ‘ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง’ แต่อเมริกายิ่งใหญ่มาได้เมื่อคนรวยที่สุดในประเทศจ่ายภาษีเยอะกว่าที่เสียอยู่ในปัจจุบัน

ด้านจิม โบลเกอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนให้มีการเก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้น เพราะระบบการเก็บภาษีปัจจุบันไม่มีสมดุลโดยสิ้นเชิง มหาเศรษฐีไม่ได้เสียภาษีในสัดส่วนที่ยุติธรรม

ที่มา : DW, CBS News, Business Today, News Hub