ไม่พบผลการค้นหา
ครม. ตั้ง 'คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ' ให้ 'อุตตม' เป็นประธานกรรมการ สำนักงบฯ รายงานงบปี 2562 มีวงเงินยังไม่ก่อหนี้ผูกพันอีก 50,000 ล้านบาท สามารถปรับแผนนำไปแก้ปัญหาภัยแล้งและดำเนินตามนโยบายรัฐได้ ประเมิน งบปี 63 รัฐบาลจะมีวงเงิน 80,000 ล้านบาทสำหรับทำโครงการใหม่ตามนโยบาย

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2562 มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและงบลงทุนของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งเร่งรัดติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย 

โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าว ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ มีกรรมการประกอบด้วย ส่วนราชการที่ได้รับการจัดสรรงบลงทุนอยู่ในระดับสูง รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ โดยมีที่ปรึกษาหรือรองอธิบดีที่อธิบดีกรมบัญชีกลางมอบหมาย และที่ปรึกษาหรือรองผู้อำนวยการที่ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม และให้มีการติดตามและประชุมหารือเป็นประจำทุกไตรมาส หรือแล้วแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นสมควร

ทั้งนี้ ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ได้รับรายงานจากสำนักงบประมาณ ระบุถึงผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ข้อมูล ณ วันที่ 2 ส.ค. 2562 หน่วยงานภาครัฐเบิกจ่ายงบประมาณรวมการก่อหนี้ผูกพัน (PO) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 80 แบ่งเป็น รายจ่ายประจำร้อยละ 81 และรายจ่ายลงทุนร้อยละ 75 โดยมีวงเงินที่ยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพันอยู่ประมาณ 50,000 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปี (เดือน ส.ค. – ก.ย. 2562) สำนักงบประมาณ โดยความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี จะขอให้ส่วนราชการปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนที่ยังไม่ก่อหนี้ผูกพันไปดำเนินโครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งและดำเนินโครงการตามนโยบายของรัฐบาล

สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วงเงิน 3,200,000 ล้านบาท เมื่อหักรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ เงินเดือน ค่าจ้าง ค่ารักษาพยาบาล และเงินชดเชยแล้ว รัฐบาลจะมีวงเงินงบประมาณสำหรับใช้ดำเนินโครงการใหม่ตามนโยบายของรัฐบาลอยู่ที่ประมาณ 80,000 ล้านบาท

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :