ไม่พบผลการค้นหา
เปิดผลการวิจัย 'การรายงานข่าวประท้วง: บทบาทของสื่อมวลชนไทยในการสลายการชุมนุมและความรุนแรงทางการเมือง' พบยุคราษฎรสื่อได้รับบาดเจ็บเทียบเท่ายุคพฤษภาทมิฬ ยุคพันธมิตร นปช. กปปส. สื่อถูกคุกคามจากมวลชน แต่ยุคราษฎรใช้วิธีใหม่ คว่ำบาตร ประณามสื่อในโลกออนไลน์

26 ก.ย. 2566 มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน และสำนักข่าวประชาไท ได้จัดงานเสวนาวิชาการ ‘สื่อพลิกผันในสถานการณ์พลิกขั้ว เสรีภาพสื่อ และบทบาทสื่อมวลชนในยุคพลิกผัน’ โดยมี ผศ.รศ. พรรษาสิริ กุหลาบ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจุฑารัตน์ กุลตัณกิจจา ผู้ช่วยวิจัยโครงการวิจัย ร่วมนำเสนองานวิจัยเรื่อง ‘สื่อในการรายงานสถานการณ์ชุมนุมทางการเมือง (พ.ศ. 2557-2565)’

พรรษาสิริ กุหลาบ.jpeg

พรรษาสิริ กล่าวว่า เนื้อหาที่ได้มานำเสนอในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย เรื่อง การรายงานข่าวประท้วง: บทบาทของสื่อมวลชนไทยในการสลายการชุมนุมและความรุนแรงทางการเมือง ซึ่งเป็นการศึกษาการทำงานของสื่อมวลชนในการทำงานช่วงการชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ 5 ครั้ง คือ 1.เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2.การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 3.การชุมนุมของกลุ่ม นปช. 4.การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. และ 5.การชุมนุมของกลุ่มเยาวชนช่วง 2563-2564 หรือม็อบราษฎร โดยจะเน้นไปที่ผลกระทบที่สื่อมวลชนเผชิญ ซึ่งเป็นผลมาจากการความขัดแย้งแบ่งขั้วทางการเมือง 

ในด้านของผลกระทบทางกายภาพ มีการดูทั้งการข่มขู่คุกคาม การใช้ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ชุมนุม รวมถึงกลุ่มที่ไม่ทราบฝ่ายด้วย โดยพบว่าในช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และช่วงการชุมนุมของกลุ่มราษฎร มีสื่อมวลชนได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยได้รับบาดเจ็บ 33 และ 34 ราย โดยเป็นการได้รับบาดเจ็บระหว่างการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ 

สำหรับช่วงปี 2535 ตัวเลขสื่อมวลชนที่ได้รับบาดเจ็บเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 17 - 20 พฤษภาคม 2535 ที่เจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้อาวุธหนัก เข้าปราบปรามผู้ชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน ในจำนวน 33 ราย มีสื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บสาหัส 5 ราย ทั้งผู้ที่ถูกยิง และถูกพานท้ายปืนทุบตี 

ในส่วนของม็อบราษฎร สื่อมวลชนได้รับผลกระทบโดยตรงตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2563 เป็นต้นมา เริ่มต้นจากการที่เจ้าหน้าที่เริ่มปฏิบัติการสลายการชุมนุมด้วยการฉีดน้ำผสมสารเคมีใส่ผู้ชุมนุม และยังมีการจับกุมผู้สื่อข่าวของประชาไทด้วย จากนั้นเหตุการณ์ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ควบคู่ไปกับปฏิบัติการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้กับผู้ชุมนุม ตั้งแต่ปีต้นปี 2564 ซึ่งมีการใช้กระสุนยางเข้าสลายการชุมนุมบนถนนราชดำเนิน และปรากฎบ่อยครั้งขึ้นในการสลายยการชุมนุมของกลุ่มทะลุแก๊ส บริเวณ แยกดินแดง 

ทั้งนี้ในทางกลับกัน ในส่วนของการชุมนุมของกลุ่ม พันธมิตร และกลุ่ม กปปส. มีจำนวนสื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บไม่มากเท่ากับการชุมนุม ช่วงพฤษภาทมิฬ กับช่วงการชุมนุมยุคราษฎร โดยในช่วงขงพันธมิตรมีสื่อมวลชนบาดเจ็บ 4 ราย บาดเจ็บจากการถูกอาวุธหนักจากกลุ่มไม่ทราบฝ่าย 3 ราย และอีกหนึ่งรายถูกยิงจากการ์ดของกลุ่มพันธมิตรเอง โดยเป็นการยิงเข้าใส่รถถ่ายทอดสด ในช่วงนั้นสถานการณ์เริ่มตึงเครียด กลุ่มผู้ชุมนุมเองถูกโจมตีด้วยอาวุธหนัก ทำให้มีการใช้กลุ่มการ์ดซึ่งมีการติดอาวุธหนักด้วยเช่นกัน  

ในส่วนของการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. มีสื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บ 6 ราย มี 3 รายบาดเจ็บจากการใช้อาวุธหนักโดยกลุ่มไม่ทราบฝ่าย ส่วนอีก 3 รายได้รับบาดเจ็บจากกรณีการบุกปิดล้อม และเข้ายึดสถานที่ของกลุ่มผู้ชุมนุม 

“จากการสัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ได้ทำงานในช่วงเวลานั้น (ช่วงพันธมิตร และช่วง กปปส.) ได้รับคำตอบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ชุมนุมมีความแตกต่างจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในที่ชุมนุมของม็อบราษฎร คือ ไม่มีท่าทีของความเข้มงวด ไม่มีท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสื่อมวลชนมากนัก ขณะเดียวกันแนวทางในการรับมือการชุมนุมก็ไม่ได้มีความแข็งกร้าวมาก เว้นแต่กรณีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ที่หน้ารัฐสภา ที่เจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาใส่มวลชน ซึ่งปรากฎว่ามีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ ส่วนกลุ่มที่มีความแข็งกร้าวกับสื่อมวลชนกลับกลายเป็นกลุ่มการ์ด และกลุ่มผู้ชุมนุมเอง”

พรรษาสิริ กล่าวว่า สถานการณ์ผลกระทบต่อสื่อมวลชนในช่วงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร และกลุ่ม กปปส. นั้นสะท้อนว่า เมื่อการชุมนุมยืดเยื้อ และตึงเครียดมากขึ้น ท่ามกลางความขัดแย้งแบ่งขั้ว ขณะที่รัฐบาลเองก็ไม่ได้รับความไว้วางใจจากสาธารณะ หรือไม่ได้รับการสนับสนุน สร้างชอบธรรมจากสถาบันการเมืองอื่นๆ และการสื่อสารระหว่างรัฐบาลกับ ผู้ชุมนุมก็เป็นไปอย่างคลุมเครือ ไม่มีการเจรจาอะไรที่ชัดเจน หรือมีกลไกอื่นๆ ที่นำไปสู่การจัดการความขัดแย้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นโอกาสที่การชุมนุมจะเป็นไปอย่างปลอดภัย ไร้ความเสี่ยงก็เป็นไปได้น้อย จึงส่งผลต่อการทำงานของสื่อมวลชนเช่นกัน แม้จะไม่มีรายงานว่ามีสื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บจากฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐเช่นกัน

สำหรับการชุมนุมในยุคของ นปช. นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า มีช่างภาพต่างชาติถูกยิงเสียชีวิต 2 ราย ขณะเกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารกับผู้ชุมนุม นอกจากนี้ยังมีสื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บอีก 14 ราย ในจำนวนนี้โดนอาวุธหนักจากกลุ่มไม่ทราบฝ่าย 13 รายทั้งนี้ โดยผลการไต่สวน 10 กรณีที่สื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเกิดจากกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ หรือกองกำลังติดอาวุธที่แฝงตัวมาในกลุ่มผู้ชุมนุม 

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก เพราะมีผู้เสียชีวิตเกือบร้อยคน บาดเจ็บอีกพันกว่าคน และสื่อมวลชนก็เสียชีวิต ถือเวลาร้ายแรงมาก และระดับเสรีภาพสื่อในช่วงนั้นก็ตกต่ำลงมาก แต่กลับไม่มีข้อเท็จจริงที่จะบอกได้ว่ามันเกิดจากอะไร”

นอกจากนี้จากการวิจัยรวบรวมข้อมูลยังพบว่าในช่วงการชุมนุมของกลุ่ม พันธมิตร นปช. และ กปปส. มีกรณีที่ผู้ชุมนุมแสดงการข่มขู่คุกคาม ทำร้ายร่างกายสื่อมวลชนด้วย แต่ในยุคของราษฎรไม่พบว่ามีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น แต่มีการโจมตีสื่อ ติติง ประณาม หรือแบนด์สื่อมวลชนที่ผู้ชุมนุมเห็นว่ารายงานข่าวอย่างไม่เป็นธรรม ในโลกออนไลน์แทน ซึ่งเป็นวิธีที่น่าสนใจเพราะสามารถสร้างแรงกันดันต่อผู้ปฏิบัติงาน และองค์กรสื่อได้ โดยไม่ได้ใช้การคุกคามสวัสดิภาพ หรือเสรีภาพของสื่อโดยตรงทางกายภาพ 

ทั้งนี้จากผลกระทบที่เกิดขึ้น จะพบว่ารูปแบบในการปิดกั้นการทำงานของสื่อมวลชนในแต่ละยุคนั้น ภาครัฐจะมีการใช้แบบแผนเดิมๆ คือ การใช้กฎหมายเข้าควบคุมสถานการณ์ ซึ่งมีการสกัดกันการเผยแพร่ข้มมูลข่าวสารอย่างชอบธรรม ในช่วงการชุมนุมของกลุ่มราษฎร หลังจากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า ข้อเสนอว่าด้วยการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นการล้มล้างการปกครองนั้น พบว่า มีการขอความร่วมมือไม่ให้สื่อโทรทัศน์รายงานข่าวเกี่ยวกับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม และยังมีบรรยากาศความเกรงกลัวอันเกิดจากการดำเนินคดีมาตรา 112 ต่อผู้ชุมนุมจำนวนมาก ซึ่งสร้างผลกระทบต่อการรายงานข่าวของสื่อมวลชนด้วย ส่วนปฏิบัติการของภาครัฐในการควบคุมการชุมนุมนั้นภาครัฐใช้ทุกวิธีการไม่ว่าจะเป็น การคุกคาม ข่มขู่ จับกุมดำเนินคดี ใช้แก๊สน้ำตา และกระสุนยางในการสลายการชุมนุม 

อย่างไรก็ตามในการควบคุมการชุมนุมในช่วงยุคราษฎรเจ้าหน้าที่รัฐคือ เจ้าหน้าที่ คฝ. ซึ่งมีความคาดหวังว่าจะมีปฏิบัติการที่แตกต่างจากตำรวจทั่วไป และเจ้าหน้าที่ทหาร แต่กลับพบว่า ยังคงมีการปิดกั้นการชุมนุม ปิดกันการแสดงออก ซึ่งส่งผลมายังสื่อมวลชนด้วย เหตุที่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะภาครัฐมองว่าการชุมนุมของกลุ่มราษฎรนั้นเป็นภัยต่อความมั่นคง 

พรรษาสิริ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เมื่อไม่มีการบันทึกเรื่องการใช้ความรุนแรง และการปิดกั้นเสรีภาพสื่ออย่างเป็นทางการ และเป็นระบบ จึงทำให้ไม่เห็นผลกระทบที่เป็นรูปธรรม ผลจากความรุนแรงจึงถูกมองว่าเป็นความบังเอิญ เป็นความผิดในระดับปัจเจก และเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดอยู่แล้วภายใต้สถานการณ์นั้นๆ จึงไม่สามารถนำไปสู่การออกแบบโครงสร้างที่จะใช้เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน หรือตรวจสอบการใช้ความรุนแรงได้ โดยเฉพาะความรุนแรงที่มาจากฝั่งรัฐ และเมื่อมีความพยายามที่จะตรวจสอบหรือเรียกร้องให้มีการแสดงความรับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรงต่อสื่อ และประชาชน ก็ไม่ได้รับการตอบสอนงมากเท่าที่ควร ไม่นำไปสู่การแสวงหาข้อเท็จจริงที่กระจ่าง หรือนำไปสู่การสืบสวนต่อของภาครัฐอย่างเป็นระบบ และในกรณีที่มีการสืบสวนต่อก็พบว่ามีการใช้เวลาที่ยาวนาน จนเอื้อให้เกิดวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวล 

และสุดท้ายคือ ตัวอุตสาหกรรมสื่อเองยังขาดการปกป้องคุ้มครองสิทธิแรงงานของผู้ปฏิบัติงาน ทั้งในเรื่องการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงและอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นและการเยียวยาผลกระทบจากการทำงานในความขัดแย้ง โดยเฉพาะผลกระทบต่อจิตใจ ซึ่งอุปสรรคสำคัญคือ อุตสาหกรรมสื่อ ไม่ได้ส่งเสริมในเรื่องการรวมกลุ่มอย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยจะพบว่าทุกวันนี้แทบไม่มีสหภาพแรงงานสื่อเลย เมื่อไม่มีการรวมกลุ่มอย่างเป็นระบบและเข้มแข็ง ก็ส่งผลให้คนทำงานสื่อไม่มีอำนาจที่จะไปต่อรองกับเจ้าของสื่อ และผู้บริหาร ทำให้ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องของปัจเจก คนทำงานจึงอยู่ในภาวะที่เผชิญหน้ากับแรงกดดันรอบด้าน 

จุฑารัตน์ กุลตัณกิจจา.jpeg

ขณะที่ จุฑารัตน์ ได้เล่าถึงประสบการณ์ในช่วงที่ยังทำงานเป็นผู้สื่อข่าวประชาไท และได้ลงสนามไปติดตามการชุมนุมในช่วงปี 2563 - 2564 โดยพบว่ามีการเกิดขึ้นทั่วประเทศมากกว่าพันครั้ง และมีผู้สื่อข่าวบาดเจ็บจำนวนมาก โดยสถานการณ์ในเวลานั้นกองบรรณาธิการประชาไท เริ่มตระหนักถึงความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แม้ในช่วงต้นยังไม่พบความรุนแรงเกิดขึ้น แต่มองวิเคราะห์สถานการณ์แล้วพบว่ามีโอกาสสูงที่จะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ จึงนำไปสู่การฝึกอบรมในเรื่องการจับตาความรุนแรง เพื่อทำความเข้าใจความรุนแรงที่เกิดขึ้น และเพื่อให้สามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่า ความขัดแย้งลักษณะใดที่จะนำไปสู่ความรุนแรง หรือมีปัจจัยใดที่จะแปรเปลี่ยนความขัดแย้งไม่ให้นำไปสู่ความรุนแรง โดยวิธีการประเมินความขัดแย้ง จะต้องทำความเข้าใจกับตัวละครที่มีความเกี่ยวข้องในความขัดแย้งนี้ว่า มีความรู้สึก มีความต้องการอะไร ผลที่ได้รับคือ คนตรงกลางที่จะช่วยลดโอกาสเกิดความรุนแรงมีอยู่น้อยมาก และมองเห็นว่าสถานการณ์มีโอกาสที่จะรุนแรงขึ้น

สิ่งที่ได้จากการอบรม ทำให้ได้จุดสังเกตถึงสัญญาณของความรุนแรง เช่น การมองดูการเตรียมปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจจากพื้นที่ใด หากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในเมือง พบว่า จะมีการใช้ความรุนแรงน้อย เพราะมีความใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ชุมนุม แต่หากเป็นการดึงกำลังตำรวจมากจากต่างจังหวัด โอกาสที่จะเกิดความรุนแรงจะมีสูงกว่า เนื่องจากมีระยะห่างจากประชาชน รวมทั้งการสังเกตอาวุธของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง 

ทั้งนี้เมื่อลงสนามจริงและพบว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นตามที่ประเมิน สิ่งที่ทางสำนักข่าวประชาไทได้ทำต่อไปคือ การอบรมในเรื่องการดูแลร่างกาย การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ไปจนถึงการดูแลสภาพจิตใจเมื่อต่อเผชิญความรุนแรง โดยมีการประสานงานร่วมกับองค์กรที่พร้อมสนับสนุนการดูแลทางด้านจิตใจให้กับคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน