ไม่พบผลการค้นหา
“ใจจริงผมก็อยากลองใส่กางเกงขายาวแบบคุณบ้าง” หนุ่มในชุดจีวรบอกผมถึงหนทางที่เขากำลังเตรียมเผชิญในอนาคตอันใกล้ พลางเอามือลูบที่ชายจีวร

“น่าจะเท่นะ” เขาพูด

แค่กางเกงขายาว มันจะไปน่าตื่นเต้นอะไร, ผมคิดในใจ 

ก็ใช่ แต่น้ำเสียงของคนที่ขาข้างหนึ่งก้าวขึ้นไปบนเขียงแห่งกฎหมายป่าเถื่อน และมีห้องหับเป็นวัฒนธรรมดงดิบพยายามปิดขังเขาไว้ นับว่าระยะทางข้างหน้าที่ใกล้เข้ามา ย่อมสะกิดก้อนเนื้อในอกให้เต้นแรงยิ่ง 

และอาจเป็นเหตุเป็นผลที่ทำไมแค่กางเกงขายาวจึงสั่นสะเทือนมวลปีกฝันที่หลับใหลมาเนิ่นนานยิ่ง

จากนักบอลวิ่งลืมตายในวัยเด็กสู่สามเณรดับเครื่องชน และวังวนของทางโลก

ไม่น่าเชื่อ แต่ก็อยากเชื่อ เราอาจเข้าใจยุคสมัยและสังคมไทยผ่านชีวิตโฟล์ค-สหรัฐ สุขคำหล้า ได้ไม่ยากนัก

252917681_10162316140649848_3701037716743638019_n.jpg


กลับบ้าน

ภูซาง, พะเยา-ฤดูหนาว ฝุ่นถนนลูกรังคลุ้งยาวสุดลูกหูลูกตา

โฟล์คกลับมาบ้านเกิดในรอบหลายปี เขาไม่ได้ดูตื่นเต้น ไม่ได้ดีใจแบบคนที่ได้กลับสู่อ้อมกอดครอบครัว 

เขากลับมาลาสิกขาหลังบวชเณรมาเกือบ 11 พรรษา หลังถูกสำนักงานพุทธศาสนากดดันให้สึกจากการออกไปร่วมม็อบราษฎร ขึ้นปราศรัย และถูกดำเนินคดี 112 ระหว่างปี 2020-2021

“เชื่อไหม เมื่อปีที่แล้วโรงพยาบาลแถวบ้านผมเพิ่งจะมีเครื่องกรอฟัน” เขาเล่าระหว่างรถวิ่งลุยลูกรังแดง ผ่านแรงงานนิรนามริมทางที่กำลังขุดเจาะวางท่อระบายน้ำ

โฟล์คออกตัวว่าเป็นเด็กธรรมดา เกิดปี 1999 ที่อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา พ่อแม่อยู่ในฐานะพอเลี้ยงชีพได้ พอโตมาหน่อย ครอบครัวได้ประโยชน์จากนโยบายกองทุนหมู่บ้าน

“ตาผมบอกว่าจะให้พ่อผมไปขับรถรับส่งนักเรียน ก็กู้กองทุนหมู่บ้านมาซื้อรถผ่อนไฟแนนซ์ แต่พ่อผมดันมาเสียชีวิตตอนปี 2004 ตาก็มาขับรถต่อ พอปี 2006เกิดรัฐประหาร กองทุนนี้สะดุดไป บวกกับตาผมป่วย ไม่มีใครส่งไฟแนนซ์ไหว ต้องปล่อยรถถูกยึดไป ทำให้แม่ผมต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวคนเดียว”

เส้นชีวิตโฟล์คและครอบครัวเหมือนเลี้ยวโค้งหักศอก และชีวิตใหม่ของเด็กชายจากภูซางก็อาจเริ่มตรงหลักกิโลฯ รัฐประหารนี้

255387211_10162316131254848_8881897337138409405_n.jpgIMG_8315.jpg


IMG_8316.jpg


ฟุตบอล

“ผมเกิดหัวปี น้องเกิดท้ายปี หลังพ่อตาย ตาป่วย ทำให้แม่ทำงานหนักมาก แม่ต้องมาทำงานที่กรุงเทพฯ”

ตอนจบ ป.6 แทนที่จะได้เรียนโรงเรียนปกติ แม่ให้ประกาศิตกับเขาว่าสามารถส่งเรียนได้คนเดียว เพราะหาค่ากินไม่ไหว แม่บอกกับเขาว่า “ถ้าโฟล์คบวช น้องจะได้เรียน แต่ถ้าไม่บวชน้องจะได้ไปอยู่โรงเรียนประจำ เป็นโรงเรียนของราชประชานุเคราะห์” 

“ผมร้องไห้นะ คิดว่าทำไมแม่เข้าข้างน้องจังเลย ผมก็ลูกเหมือนกัน แต่อีกใจก็คิดว่าถ้าน้องไปเรียนที่นี่คงหนักกว่าที่ผมต้องไปอยู่วัด เพราะได้ยินบ่อยมากว่าเด็กๆ มีเซ็กส์กันโดยไม่มีถุงยาง ท้องกันเยอะมาก” 

ไม่แน่ ถ้าไม่มีรัฐประหาร เราอาจได้เห็นซูเปอร์สตาร์ขาแข้งจากภูซาง ทีมชาติไทยอาจจะมีศูนย์หน้าตัวเป้าชื่อ “เมสซี่โฟล์ค”

แต่วินาทีที่เขาถูกกล้อนผมบวชนาคเตรียมเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ความฝันของเด็กชายก็ล่มสลายลงไปพร้อมกับเสียงสวดมนต์อื้ออึงที่เขาเองก็ไม่รู้ความหมาย ไม่รู้กระทั่งว่าวันที่ 10 เมษายน 2010 วันที่เขาบวชเป็นวันที่คนเสื้อแดงถูกฆ่ากลางเมือง

“ผมอยากเป็นนักฟุตบอล ตอนนั้นโรนัลโดหรือเมสซี่มันเท่มาก ผมดูคลิปเขาผ่านยูทูป มันแพรวพราวมากเลย สมัยผมเด็กๆ ทั้งจังหวัดมันไม่มีสนามฟุตบอลเลย คนพะเยายังไม่รู้ว่าฟุตบอลมันหากินได้ แล้วพอเรามีความฝัน คนแถวบ้านก็บอกว่ามึงไปได้ไม่ไกลหรอก เรียนจบก็ต้องทำงานกรีดยางอยู่บ้าน มีเมียไป 

“แต่ผมคิดว่าเวลาที่ใครบอกเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปได้ขึ้นมา มันคงรู้สึกดีมากเลย” โฟล์คเล่าตาเป็นประกาย

ก่อนนั้น โฟล์คพยายามหาลู่ทางใหม่ให้ตัวเองเพื่อจะได้ไม่ต้องบวช คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวในโรงเรียนทำให้เขาซึมซับฝีแข้งจนฝันจะไปคัดตัวที่ ‘เชียงรายยูไนเต็ด’ ผ่านโรงเรียนกีฬาประจำจังหวัด แต่ข้อเท็จจริงคือโรงเรียนมีทุนให้เพียงครึ่งเดียว ค่าที่อยู่ ค่ากินต้องหาเอง นั่นจึงเป็นเหตุทำให้เขาหมดทางเลือก

“ผมเป็นพวกโกรธแล้วไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น เลยไปร้องไห้ในป่ากล้วยหลังบ้าน ตะโกนแบบไม่ไหวแล้ว ทำไมชีวิตมันโหดร้าย ทำไมแม่ไม่ให้เราไปเรียนที่กรุงเทพฯ ด้วย

“อย่างน้อยผมก็ยังได้เตะฟุตบอล ผมคิดว่าชีวิตผมมันน่าจะไปได้ไกลกับเส้นทางนี้ โรนัลโดหรือเมสซี่ก็เคยเป็นเด็กยากจน ตอนนั้นผมวิ่งไล่บอลไม่เคยเหนื่อยเลย วิ่งขึ้นภูเขาออกกำลังกาย ผมไม่เคยบ่นเลย แต่ทำไมเราถึงไม่มีโอกาส

“ผมไม่มีรองเท้าสตั๊ดดีๆ วิ่งสามสี่ครั้งปุ่มหลุด ทำให้เป็นแค่ตัวสำรอง หรือต่อให้มีก็คงไม่ได้ลงเล่น เพราะโค้ชเขามีเด็กของเขาเตรียมไว้ลงแล้ว”

โฟล์คบอกว่าความสุขที่สุดตอนเด็กคือได้วิ่งแล้วไม่ต้องคิดอะไร ไม่มีความจน ไม่มีความรวย แต่เพราะเขาจนใช่ไหม เลยไม่มีสิทธิ์ลงสนาม เป็นคำถามที่คาใจมาจนเป็นวัยหนุ่ม

255815466_10162316141164848_8438302670755694658_n.jpgเณรโฟล์ค_Voice_Patipat_017.jpg


บทสนทนาที่เปลี่ยนไป

ทุกวันนี้ที่บ้าน เหลือเพียงตายายที่โฟล์คยังคงห่วงใยอาทร เงินปัจจัยที่เคยได้ระหว่างบวชส่วนใหญ่เขาส่งให้ตายายใช้  

“เบี้ยเงินผู้สูงอายุแค่คนละ 600 มันไม่พอ แต่จริงๆ ยายแทบไม่ใช้เลย จะใช้ก็ตอนเขาป่วยจริงๆ ผมรู้สึกว่ามันน่าน้อยใจ ตายายสองคนได้เงินเดือนรวมกันพันสอง ตกกินวันละ 20 บาท ยายต้องไปขุดปูขุดปลามาตำ มาทำเป็นน้ำพริก” 

ส่วนญาติพี่น้องคนอื่นๆ โฟล์คบอกว่าหลังจากต่างคนต่างเติบโต ก็ค่อยๆ ห่างเหินไป เพราะบทสนทนามันเปลี่ยน

“เวลาคุยกัน กินข้าวยัง ทำอะไรอยู่ สบายดีไหม แล้วก็นินทาคนอื่น แต่ละครั้งวนอยู่แบบนี้ เพราะหลังจากมาอยู่ที่วัด ผมได้อ่านหนังสือ ได้คุยเรื่องใหม่ๆ มันทำให้ผมรู้สึกมีความหมาย การคุยแบบเดิม ทำให้ผมรู้สึกว่าเราไม่ใช่คน เราตอบเหมือนเครื่องจักร เราสบายดีนะ เรากินข้าวแล้ว”

การอ่านนั่นเองที่ทำให้เขาเปลี่ยน หรือการอ่านนั่นเองที่ช่วยเยียวยาห้วงลึกของเขา ไม่มีใครรู้ดีเท่าใจโฟล์ค

“ผมมาอยู่กับพระอาจารย์ที่เป็นพระสายปฏิบัติ เขาพาผมไปปฏิบัติธรรมบ่อยๆ แล้วก็มีหนังสือให้อ่าน ตอนแรกผมยังไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่แกจะเอาหนังสือบู๊ตึ๊งหรือกังฟูมาให้อ่าน ผมก็บ้ากำลังภายใน ฝึกกำลังสมาธิ ฝึกลมปราณ” โฟล์คหัวเราะตัวเองที่เคยพยายามเป็นศิษย์เส้าหลิน 

“เวลามีสร้างเจดีย์หรือสร้างกุฏิ ผมจะยกดินยกทรายแบบเหมือนฝึกวิทยายุทธไปด้วย ถ้าเรายกจังหวะถูก กล้ามมันจะขึ้น” คนหนุ่มหัวเกรียนหัวเราะร่วน

หลังจากหนังสือกำลังภายใน โฟล์คขยับมาอ่านงานซีเรียสขึ้น เขาเริ่มอ่านประวัติศาสตร์ ศึกษาสงครามโลกว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร 

“เราหลงใหลว่าทำไมเขาถึงรบกันและเพราะอะไร ทำไมเยอรมันถึงต้องไปรบกับคนอื่น แล้วมันรบชนะได้อย่างไร เดือนหนึ่งผมจะไปซีเอ็ดบุ๊กครั้งเดียว อาจารย์ผมจะซื้อให้แค่เดือนละเล่ม ลูกศิษย์มีประมาณสามคน เพื่อนผมซื้อดราก้อนบอล ผมซื้อประวัติศาสตร์ อีกคนซื้อหนังสือดราก้อนบอลเล่มสอง มาอ่านต่อกับเพื่อนคนแรก พอผมอ่านประวัติศาสตร์จบก็มาอ่านดราก้อนบอลต่อ สนุกดี” คำถามจากการอ่านของเขาเริ่มพรั่งพรู

ในระหว่างเกิดคำถามและแสวงหาคำตอบ ยิ่งอ่านมาก ไม่ใช่ความรู้อย่างเดียวที่เป็นโบนัส โฟล์คสารภาพว่าในโบนัสนี้เขากลายเป็นคนแปลกแยกมากขึ้น บทสนทนาที่เปลี่ยนไปจากเดิม ก็ยิ่งตาลปัตรไปอีก

“เณรส่วนใหญ่เล่นเกม ROV แต่ผมอยากจะหาเรื่องชวนคุยเพื่อให้เขาออกจากประเด็นอื่น มันเหมือนน้ำบ่อน้อย เขาว่ายไปเรื่อยๆ บอกว่าสึกแล้วจะมีแฟน ทำนา ส่วนเรารู้จักฮิตเลอร์ไหม มันมีเรือดำน้ำที่ทำลายเรือที่ขนส่งอาหารจากค่ายพันธมิตร เพื่อนเณรก็จะแบบว่าพูดอะไรไม่รู้เรื่อง ทำให้ผมรู้สึกถูกโดดเดี่ยว” รอบนี้โฟล์คขำให้ตัวเองดังกว่าเดิม 

แต่ภาวะที่รู้สึกแปลกแยกจากเพื่อน โฟล์คบอกว่าผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเครื่องจักรแล้ว หรือว่าคนที่โดดเดี่ยว แต่คือคนที่เห็นหัวใจตัวเองกำลังเต้น ในแง่หนึ่งโดดเดี่ยวอาจหมายถึงมีชีวิตชีวามากกว่า 

“ผมคุยกับตัวเองเหมือนคนบ้า เช่น ฮิตเลอร์ไม่ได้บ้าอำนาจอีกต่อไป แต่มีปัจจัยอะไรที่ทำให้ฮิตเลอร์ถูกทำให้เป็นอย่างนั้น แล้วเวลาเราอธิบายมุมต่างได้มันรู้สึกดี มัน think differently ทำไมเราต้องคิดตามอาจารย์ ทำไมรัฐประหารตั้งสิบกว่าครั้งทำไมบอกว่าเพราะความไม่สงบทางการเมือง แต่ในสายตาคนอื่น มันเหมือนเขา dehumanize ผม มันเป็นภาวะที่เกิดขึ้นพร้อมกัน”

คุณบาลานซ์ความรู้สึกตัวเองอย่างไร ?

“ผมอยากตายเลยนะตอนนั้น ผมไม่อยากอยู่แล้ว” โฟล์คสารภาพก่อนเล่าต่อว่า ดีที่ได้พระอาจารย์พาไปเที่ยวที่วัดสุทัศน์ พาไปนั่งเรือดูวัดแจ้ง ดูธรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์คืออะไร ตอนนั้นเรายังไม่รู้จักเลย ผมรู้สึกว่ามันมีบ่อน้ำที่มันใหญ่มาก หอศิลป์เรายังไม่เคยเห็น งานศิลปะมันคืออะไร ทุกอย่างดูว้าวไปหมด เพราะผมไม่เคยออกไปนอกกะลาพะเยาเลย” แววตาเด็กหนุ่มสะท้อนถึงโลกกว้าง

เณรโฟล์ค_Voice_Patipat_011.jpgเณรโฟล์ค_Voice_Patipat_012.jpg


ความลับริมน้ำตก

“ผมรู้สึกสูญเสียอะไรไปบางอย่าง ผมไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่คุ้นเคยแล้ว ผมรู้สึกโหวงๆ มันจะผ่านมาแบบนี้ทุก 10-15 นาที ผมจำความรู้สึกตอนที่ผมใส่กางเกงสมัยอายุ 12 ไม่ได้แล้ว” โฟล์คระบายความรู้สึกแทรกเสียงซ่าน้ำตก ไอเย็นไม่ได้ทำให้เขาใจเย็นลง

คุณกังวลอะไร ?

“ผมมีเรื่องที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง” โฟล์คนั่งนิ่ง สูดหายใจลึก และค่อยๆ คายถ้อยคำขนาดยาว...

“หลายครั้งมักมีคนบอกเราว่าในน้ำมีปลาในนามีข้าว บ้านเรารักกันดี ครอบครัวแสนสงบสุขสบาย นั่นเป็นแค่ด้านที่เขาอยากจะให้เราเห็น แต่ความจริงเมื่อมองลึกเข้าไป เราจะพบกับความเน่าเฟะที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“ผมเองก็เคยผิดหวังกับความจริง คนที่เรานึกว่าเป็นพ่อแม่เรามาตลอด วันหนึ่งเขากลับมาบอกว่าเขาไม่ใช่พ่อแม่ผม เขาบอกความจริงเรื่องนี้กับผมว่าเขาไม่ใช่พ่อแม่ผมนะ เขารับผมมาอุปการะมา และเขาบอกว่าเขาเสียสละอย่างมาก

“นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมหนีไปอยู่ในสวนกล้วยหลังบ้าน ผมยอมรับความจริงไม่ได้จนกระทั่งผมเรียนประมาณ ม.5 ช่วงนั้นเฟซบุ๊กกำลังบูมใหม่ๆ ผมตั้งใจว่าจะต้องตามหาแม่ให้ได้ ผมไปดูใบแจ้งเกิดว่ามีชื่อแม่ผมไหม ปรากฏว่าผมเสิร์ชเจอ ผมตัดสินใจโทรหาแม่เลย”

“ทำไมถึงทิ้งผมไป ผมถามแม่ คำถามในใจผมโถมเข้ามาเหมือนกับพายุที่พัดรวงข้าว ผมรู้สึกว่าอยากจะทำลายเขา อยากถามว่าถ้าคุณไม่พร้อม ทำไมคุณไม่ปล่อยให้ผมตายไป ทำไมคุณต้องฝากคนอื่นเลี้ยง 

“สิ่งที่ผมเจอตอนเด็ก ผมถูกล้อว่าเป็นไอ้ฝรั่ง เป็นลูกไม่มีพ่อ เป็นลูกฝรั่งหรือเปล่า มันเป็นแผลในใจ ทำไมมึงหัวโตจังเลย ผมได้รับคำตอบว่าเขากินยาขับเพื่อให้ผมออกเพื่อจะทำธุรกิจต่อ เพราะเขาไม่มีเงินเหมือนกัน

“ถามว่าผมให้อภัยเขาไหม ตอนนั้นผมไม่ให้อภัย ผมบอกว่าถ้าคนเป็นแม่จริงจะไม่ทำแบบนี้ ตอนนั้นผมเชื่อคำเปรียบเปรยที่ว่าขนาดหมามันยังไม่ทิ้งลูกเลย แล้วคุณเป็นใครมาทิ้งลูก แต่ความจริงของเขามันเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ เขาต้องออกจากบ้านมาเป็นหญิงขายบริการ ทำให้ผมสับสนมาก

“หลังจากนั้นผ่านมา พอผมเรียนมหา’ลัย มันมีแคมเปญสิทธิขั้นพื้นฐานของหญิงขายบริการ ทำให้ผมเริ่มเข้าใจปัญหาที่ส่งทอดถึงกัน แต่รัฐไทยเขาจะโชว์ภาพความดีความงาม แต่ซ่อนความจริงไว้

“อย่างผมที่อยู่ในหลุมของชนชั้นล่างอีกทีหนึ่ง ผมเริ่มอโหสิกรรม เพราะว่าปัญหาที่แม่ผมเจอไม่ใช่แม่ผมคนเดียว ผมไปสลัม หลายคนมีปัญหานี้เหมือนกัน ทุกคนล้วนเจ็บปวดกับรัฐที่ข่มขืนเรา รัฐประหารเราซ้ำๆ”

โฟล์คขยับตัวเล็กน้อย ตาก้มต่ำมองพื้นดินที่ผู้คนเหยียบยืน สูดหายใจลึก และค่อยๆ เงยหน้าถอนหายใจแผ่วเบา

สามเณรโฟล์ค_F001.jpgเณรโฟล์ค_Voice_Patipat_003.jpg


เข้า (การ) เมือง

ว่าแบบรวบรัด เด็กชายจากภูซางบวชเณรตอนอายุ 12 อยู่วัดที่พะเยาได้ 7 ปี ก่อนย้ายมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ตอนอายุ 19 เจอคดี 112 ตอนอายุ 21 

“อยู่พะเยามันเบื่อ ไม่ไหวแล้ว อาจารย์ผมพานั่งสมาธิอย่างไรก็แล้ว มันไม่ไหว มีแต่ท้องไร่ท้องนา” โฟล์คบอกความเป็นคนหนุ่มสาวเริ่มขัดแย้งกับตัวเอง อยู่พะเยาเขาเสพ pop culture ได้เพียงสารคดีช่องเนชั่นและรายการ Rap is Now 

“แต่สังคมชนบทบ่มให้คุณต้องเป็นราชการหรือไม่ก็ทำนา เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะไม่มีใครจินตนาการถึงชีวิตที่ดีกว่านี้ได้

“ผมเป็นเด็กนักเรียนทุนของสมเด็จพระเทพฯ ทุกปีจะมีการอบรมจากคนของราชสำนัก มีพระมาฝึกทำให้เด็กร้องไห้ เปิดเพลงค่าน้ำนม ให้ดูคลิปคนคลอดลูก สอนนั่งสมาธิ ชีวิตการเรียนมีแค่นี้”

ความที่เป็นเด็กเรียนไม่เก่ง ภาษาอังกฤษไม่คล่องเลย โฟล์คกับเพื่อนเณรสอบได้เกรดเฉลี่ยแค่ 2.00 พวกเขาถูกเบลมจากผู้ใหญ่ว่า “ถ้ารู้ว่ามันยากจะมารับทุนเรียนทำไม หัดสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณบ้าง” 

“ผมบอกว่าก็ผมสอบติด ก็เข้ามาเรียน ปัญหาที่ผมได้ 2.00 ไม่ใช่เพราะผมโง่ แต่ผมไม่ได้โอกาสเรียนที่ดีๆ มาแต่แรก ผมรู้สึกว่าถูกดูถูก เลยตัดสินใจไม่รับทุนต่อ” 

เมื่อโฟล์คเข้ากรุงเทพฯ ความรู้สึกที่ว่าการเมืองมันไม่ใช่เรื่องของคนกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่เกี่ยวกับทุกคนก็สว่างวาบในพริบตา บทสนทนาเรื่องนโยบายของรัฐ การกระจายอำนาจ ทำให้หนุ่มภูซางถึงบางอ้อว่าที่ไม่ได้เรียนต่อ ม.1 ที่บ้านต้องขายรถเพราะว่าเกิดการรัฐประหาร 

“ช่วงนั้นผมเพิ่งเรียนเรื่อง Butterfly Effect รู้เลยว่าพอวิกฤตการเมืองขยับปีก มันมีผลกระทบต่ออย่างไร”

จากประวัติศาสตร์สงครามโลก โฟล์คได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับมาร์กซิสต์เบื้องต้นของเกษียร เตชะพีระ ทำให้เขามองทะลุฝ้าเพดานที่กดชีวิตเขาไว้

“ผมอ่านงานมาร์กซิสต์ ทำให้รู้สึกไปถึงภาพที่ตาปลูกแตง แล้วแตงไหม้ แตงไหม้ไม่พอ ถูกขูดรีดจากพ่อค้าคนกลางอีก หรือขายข้าว กว่าข้าวจะออกแล้วโดนขูดรีด แทนที่เราจะได้ไปพัฒนานวัตกรรม ทำให้ทุ่นแรง ทำให้เราสบายขึ้น แต่กลไกตลาดทุนทำให้เรากลายเป็นเครื่องจักร มันทำให้ผมรู้สึกว่าอ่านมาร์กซิสต์แล้วมือสั่น 

“คุณเคยสัมผัสความร้อนชาวนาไหม รถแทรกเตอร์ยังไม่มีเงินซื้อเลย ต้องจ้างเขามาทำ ต้องแปะร้านโชห่วยก่อน เพื่อรอขายข้าวได้ถึงจะต้องเอาเงินที่ขายข้าวมาใช้คืน ที่นาไม่ติดน้ำ บางคนต้องเช่าที่คนอื่นทำนา จะเอาที่ไหนมาเศรษฐกิจพอเพียง” โฟล์คระบายความอัดอั้นที่สะสมมาทั้งชีวิต 

252732367_10162316132004848_8979810018538849832_n.jpg


252472644_10162316132304848_3497681742996674077_n.jpg254669952_10162316140694848_8050974396484119359_n.jpg


คอมมิวนิสต์

“ขอให้พระภิกษุโปรดจดจำว่าข้าพเจ้าคือคฤหัสถ์ ขอให้พระภิกษุโปรดจดจำไว้ว่าข้าพเจ้าคือคอมมิวนิสต์”

ถ้อยคำอันลือลั่นระหว่างลาสิกขาช่วงบ่ายวันที่ 9 พ.ย. 2021 ที่วัดม่วงชุม อ.ภูซาง จ.พะเยา กลายเป็นถ้อยคำประวัติศาสตร์ ใครจะไปคิดว่าเณรหน้าใส จิตใจดีจะลั่นประโยคนี้กลางพระอุโบสถ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว

แต่ก่อนจะมาถึงถ้อยคำนี้ ย้อนไป 21 พ.ย. 2020 โฟล์คขึ้นปราศรัยวิพากษ์การเมืองและสังคม ในกิจกรรม “บ๊ายบายไดโนเสาร์” ของกลุ่มนักเรียนเลว ใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม ทำให้ถูกฟ้องข้อหา 112 จากรัฐธนภักษ์ สุวรรณรัตน์ ที่เขาเองก็ไม่รู้จักว่าผู้ฟ้องคือใคร 

7 ก.ค. 2021 โฟล์คเดินทางไปรายงานตัวที่ สน.ปทุมวัน ปั๊มลายนิ้วมือกับเจ้าพนักงานตำรวจที่ยังหล่นความรู้สึกกับโฟล์คว่า “เพิ่งเคยเจอเณรโดนคดีนี้” และอัยการก็มีความเห็นสั่งฟ้องเขาในวันที่ 28 ธ.ค. 2021 ก่อนที่ศาลอาญากรุงเทพใต้จะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ด้วยหลักทรัพย์จำนวน 200,000 บาท และนัดตรวจพยานหลักฐานในคดีต่อวันที่ 7 ก.พ. 2022

“ผมตื่นเต้นและกังวลที่จะใช้ชีวิตในโลกของฆราวาสเหมือนกัน แต่คิดว่ายังมีภาระหน้าที่ต่อสู้ทางการเมืองเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยกลับมา และยังต้องเรียนหนังสือต่อให้จบ” โฟล์คบอกหลังถอดสบงและจีวร เปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตขาว กางเกงขายาวสีดำ 

24 ชั่วโมงหลังลาสิกขาของโฟล์ค เขาไปทำบัตรประชาชนใบแรกในชีวิต ไปตลาด ทำกับข้าวกินกับตายายในบ้านหลังเล็กๆ ในตัวเมืองภูซาง นอนลืมตาในความมืดทบทวนความทรงจำ และโพสต์คำอธิบายผ่านเฟซบุ๊ก

“เมื่อครั้งตอนผมสึก ผมได้กล่าวกับพระอาจารย์ไว้ว่า ขอให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายโปรดจดจำว่าข้าพเจ้าเป็นคฤหัสถ์ ขอให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายโปรดจดจำว่าข้าเป็นคอมมิวนิสต์นั้น คำว่าคอมมิวนิสต์มันมีความหมายที่ว่าตัวผมไม่ใช่คนธรรมดาแต่ผมเป็นคนที่เคลื่อนไหวเรื่องเกี่ยวกับสิทธิ และความเสมอภาค ทั้งทางด้านความเสมอทางการเมืองและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจที่โลกทุนนิยมให้ไม่ได้

“ทุนนิยมให้คุณซื้อบ้าน แต่มันไม่ให้เวลาคุณอยู่บ้าน ทุนนิยมให้คุณซื้อเตียงได้ แต่มันไม่ให้เวลาคุณนอนเตียง ทุนนิยมให้คุณซื้อประกันสุขภาพ แต่ไม่ให้คุณภาพชีวิตที่ดี ทุนนิยมให้คุณซื้อหนังสือ แต่มันไม่ให้คุณมีเวลาอ่านหนังสือ

“ปัญหาเหล่านี้มาจากทุนนิยมทั้งสิ้นในสิ่งที่ผมประสบพบเจอมาที่ตัวศาสนาแก้ไม่ได้ จริงอยู่ที่มาร์กซ์กล่าวว่า ศาสนาคือยาฝิ่น แต่ยาฝิ่นมันเป็นส่วนผสมในยาชาในการถอนฟัน ที่เยียวยาความจริงอันแสนเจ็บปวดที่คนบางกลุ่มรับไม่ได้ แต่ไม่ใช่ยาฝิ่นจะเป็นยาสารพัดนึกที่รักษาหายได้ทุกโรคตลอดไปใช่หรือไม่ ? 

“ทำให้ผมต้องปฏิญาณต่อหน้าพระสงฆ์จงจดจำว่าผมเป็นคอมมิวนิสต์ที่คิดถึงความเท่าเทียมอย่างแท้จริง ตลาดเสรีไม่ใช่ทุกคนที่จะค้าขายได้เท่าเทียม แต่ผมจะสร้างโลกใหม่ที่ไม่เหมือนคอมมิวนิสต์ยุคสงครามเย็นที่ผ่านมา โลกที่ผมอยากเห็นคือผู้คนตระหนักรู้ถึงจุดตัดทางประวัติศาสตร์ ว่าคุณจะเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์หรือคุณจะเป็นจุดตัดทางประวัติศาสตร์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยร้อยเรียงกันเป็นภาพใหญ่ได้อย่างไร

“การตระหนักรู้ทางชนชั้นบัดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับวิกฤตสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นสถาบันทหาร ตำรวจ ศาสนา การศึกษา ศาล ตุลาการ รัฐสภา แม้กระทั่งสถาบันพระมหากษัตริย์ของสังคมของเรา 

“คำถามคือว่าประชาชนทนกับระบอบเดิมได้มากแค่ไหน อันแรงงานชาวนามีจำนวน แม้นประมวลก็มากครั้น ถึงคราต้องรวมกันเป็นเพลิงป่า กำจัดสิ่งอันสิ้นค่าทางประวัติศาสตร์ อย่าให้ชนชั้นใดมาปรามาส ต่ออำนาจสถาบันประชาชน”

อย่างที่บางใครให้คำอธิบายของไว้สำหรับหัวใจของฝ่ายซ้าย คำอธิบายหนุ่มจากภูซางยิ่งตอกย้ำว่าทำไมก้อนเนื้อหัวใจถึงเต้นอยู่ในอกซ้ายของมนุษย์

252830798_10162316141394848_8128843916941995165_n.jpg253769406_10162316140814848_2111050386701438838_n.jpg

ภาพ : วิทสวัส มณีจักร, ปฏิภัทร จันทร์ทอง

ธิติ มีแต้ม
สื่อมวลชน
27Article
0Video
0Blog