ไม่พบผลการค้นหา
ทั่วโลกต่างหวาดผวา จากรายงานข่าวว่ามีการพบศพชาวเมียนมา 35 ราย ถูกฆ่าและเผาบนรถบรรทุกบริเวณรัฐกะยา ทั้งนี้ องค์การด้านสิทธิมนุษยชนอย่าง Save the Children ได้ออกมาระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ขององค์กร 2 รายหายตัวไปจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยล่าสุด ทางองค์กรได้ออกมายืนยันแล้วว่า เจ้าหน้าที่ที่หายตัวไปคือ 2 ใน 35 ศพที่ถูกพบเมื่อวันคริสต์มาสอีฟที่ผ่านมา

จากแถลงการณ์ของ Save the Children บนเพจ Save the Children in Myanmar ได้เผยแพร่การยืนยันเรื่องสลดดังกล่าว ทั้งในภาษาเมียนมาและภาษาอังกฤษ โดยใจความระบุว่า เจ้าหน้าที่ทั้งสองที่เสียชีวิตมีอายุเพียงแค่ 32 และ 28 ปี ทั้งสองเพิ่งเป็นพ่อของเด็กอายุไม่ถึง 1 ปี ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตทั้งสองปฏิบัติหน้าที่สอนหนังสือเด็กๆ ชาวเมียนมาในพื้นที่รัฐกะยา ก่อนถูกสังหารและเผาร่างในวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ Save the Children ได้เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจัดการประชุมโดยด่วน เพื่อหาผู้รับผิดชอบต่อการสังหารชาวเมียนมารวมถึงอาสาสมัครด้านมนุษยธรรม 2 รายของทางองค์กร และเรียกร้องให้อาเซียนเข้าจัดการสถานการณ์ตามฉันทามติที่เคยออกไว้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา รวมถึงให้ชาติสมาชิกสหประชาชาติหยุดการค้าอาวุธกับเมียนมาโดยทันที

โดยแถลงการณ์เต็มมีเนื้อความว่า

“เจ้าหน้าที่ของ Save the Children ถูกระบุอัตลักษณ์ว่าอยู่ในจำนวนศพที่ถูกพบ ณ เมียนมา

28 ธันวาคม 2021 มันคือเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างมากที่เราได้รับการยืนยันในวันนี้ว่า สองสมาชิกของเจ้าหน้าที่ Save the Children อยู่ใน 35 คน ที่รวมถึงผู้หญิงและเด็ก ซึ่งถูกสังหารเมื่อวันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม จากการโจมตีของกองทัพเมียนมาในรัฐกะยา ฝั่งตะวันออกของประเทศ

เจ้าหน้าที่ทั้งสองรายเพิ่งได้กลายเป็นพ่อคน ทั้งสองมีความหลงใหลไปกับสอนหนังสือเด็ก เจ้าหน้าที่หนึ่งรายในนั้นมีอายุ 32 ปี ผู้ซึ่งมีลูกวัย 10 เดือน และทำงานกับ Save the Children มาแล้ว 2 ปี และได้รับการฝึกฝนการสอนหนังสือ อีกรายมีอายุ 28 ปี เป็นพ่อของลูกในวัย 3 เดือน ผู้ซึ่งเข้าร่วมองค์กรการกุศลของเราเมื่อ 6 ปีก่อน ชื่อของเขาทั้งสองจะไม่ถูกเปิดเผยด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

ชายทั้งสองกำลังเดินทางกลับมายังสำนักงาน หลังจากที่พวกเขาลงพื้นที่เพื่อทำงานด้านมนุษยธรรมในชุมชนบริเวณใกล้เคียงขณะที่พวกเขาถูกจับและโจมตี กองกำลังของกองทัพบังคับให้ทุกคนลงจากรถ จับกุมตัวคนบางส่วน ฆ่าและเผาหลายคนในนั้น

อิงเกอร์ แอชชิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Save the Children ระบุว่า:

“ข่าวดังกล่าวเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวอย่างมาก การใช้ความรุนแรงต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ด้านการให้ความช่วยเหลือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และการโจมตีอย่างไร้เหตุผลคือการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ พวกเราสั่นกลัวจากความรุนแรงที่กระทำต่อพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของเรา ผู้ซึ่งอุทิศตนแด่งานด้านมนุษยธรรม ในการให้ความช่วยเหลือเด็กผู้ขาดโอกาสนับล้านทั่วเมียนมา

การสืบสวนสอบสวนถึงต้นเหตุของเหตุการณ์ดังกล่าวกำลังดำเนินต่อไป เราจะทำทุกวิถีทางที่เราสามารถทำได้ เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าพนักงานของเราและครอบครัวของเหยื่อจะได้รับการช่วยเหลือตามที่พวกเขาต้องการจากเหตุการณ์ฆ่าสังหารในครั้งนี้ นี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างโดดๆ ประชาชนชาวเมียนมายังคงถูกเล็งเป้า โดยความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นและเหตุดังกล่าวต้องการการตอบรับอย่างทันทีทันใด

คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจำต้องเปิดการประชุมให้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหาหนทางที่พวกเขาจะนำตัวผู้รับผิดชอบออกมา รัฐสมาชิกควรกำหนดให้มีการห้ามค้าอาวุธ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการจำกัดการโจมตีทางอากาศในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) จำต้องจัดการประชุมฉุกเฉิน เพื่อทบทวนและลงมือปฏิบัติตาม ‘ฉันทามติ 5 ประการ’ ที่ได้รับการตกลงไปตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเรียกร้องให้มีการยุติความรุนแรงในเมียนมาโดยทันที และให้ผู้แทนพิเศษจากอาเซียนช่วยไกล่เกลี่ยการแก้ปัญหาทางการทูต ขั้นตอนเหล่านี้มีความจำเป็นเร่งด่วนในการปกป้องเด็กและเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

องค์กรของเรากำลังอยู่ในช่วงของความโศกเศร้าจากบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสอง ผู้ร่วมงานที่ไม่สามารถหาใครมาแทนที่ได้ ผู้ซึ่งความตายของพวกเขาคือภาพแทนของความสูญเสียของเด็กในรัฐกะยาและเมียนมา

Save the Children ปฏิบัติภารกิจในเมียนมามาตั้งแต่ ค.ศ.1995 ด้วยการให้ความช่วยชีวิตผ่านการบริหารงานด้านสาธารณสุข อาหาร การศึกษา และโครงการพิทักษ์เด็ก ผ่านพันธมิตรของเรากว่า 50 ราย และเจ้าหน้าที่กว่า 900 รายทั่วทั้งประเทศ เราได้ระงับการดำเนินงานของเราชั่วคราวในรัฐกะยา รัฐชีน และบางส่วนของเขตมะกเว และรัฐกะเหรี่ยงหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ดี เรายังคงตั้งใจจะให้ความช่วยเหลือแก่เด็กกลุ่มเปราะบางในเมียนมา โดยเฉพาะในช่วงเวลาของความขัดแย้งและวิกฤตนี้”