ไม่พบผลการค้นหา
​ผู้เชี่ยวชาญเตือน 'ความร่วมมือของ จีน-สหรัฐฯ' ในการแก้ไขวิกฤตโลกร้อน ไม่ใช่ 'จุดเปลี่ยน' หากไร้ความจริงจัง

สองชาติมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐฯ ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 และ 2 ของโลก ประกาศความร่วมมือบนเวทีประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ #COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ของสกอตแลนด์ ว่าจะร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมายตามความตกลงปารีส 2015 ประเด็น '1.5C' หรือการควบคุมอุณภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมต่างแสดงความชื่นชมต่อการตัดสินใจร่วมมือกันของทั้งสองชาติ ขณะเดียวกันหลายฝ่ายก็แสดงความกังวลถึงความเป็นไปได้ เพราะการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวต้องแลกมากับการเปลี่ยนแปลงมหาศาลทั้งในเรื่องของอุตสาหกรรมการผลิตและมาตรการทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ โดย BBC ชี้ว่า ทุกฝ่ายต่างยอมรับในความร่วมมือนี้ "อย่างระมัดระวัง"

เจนนาวี แมรีเคิล ผู้อำนายการศูนย์ปฏิบัติการนโยบายด้านสภาพอากาศของสหรัฐฯ ชี้ว่า "การประกาศความร่วมมือคือเรื่องที่เป็นความหวังใหม่ให้กับมนุษยชาติ การที่ชาติมหาอำนาจทั้งสองจะร่วมมือกันหมายความว่าเราอาจควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5C ได้จริง แต่เราต้องเข้าใจอย่างชัดเจนด้วยว่าจีนและสหรัฐฯ จะต้องลงมือทำอะไรบ้างเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ในเวลา 9 ปีข้างหน้า สิ่งสำคัญคือการตอบสนองทางเศรษฐกิจทั้งระบบ"

ขณะเดียวกัน เจนนิเฟอร์ มอร์แกน ผู้อำนวยการบริหารกรีนพีซสากลได้แสดงความยินดีต่อคำประกาศนี้ พร้อมเตือนด้วยว่าจีนและสหรัฐฯ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศโลก

ด้านเควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานของ Asia Socity ที่ทำงานด้านความตกลงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกก็ให้ความเห็นว่า การร่วมมือนี้ไม่ใช่ 'จุดเปลี่ยนที่สำคัญ' แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

"สถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ของจีนและสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ในจุดที่เลวร้าย การที่คุณสามารถสร้างข้อตกลงความร่วมมือแบบเจาะจงด้านภูมิอากาศระหว่างกรุงปักกิ่งและวองชิงตันให้เกิดขึ้นได้ในตอนนี้ ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่มีความสำคัญอย่างมาก" รัดด์กล่าว

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว CNN รายงานว่า ผู้แทนของจีนไม่ได้มีการประกาศอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลจีนจะมีมาตรการอย่างไรในการลดการปล่อย 'ก๊าซมีเทน' และไม่มีการระบุว่าจะทำตามเป้าประสงค์ระดับนานาชาติอย่าง Global Methane Pledge ที่มีสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเป็นหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซมีเทนให้ได้ราว 1 ใน 3 โดยผู้แทนจีนกล่าวว่า รัฐบาลปักกิ่งจะมีวิธีในการรับผิดชอบ "ที่แตกต่าง" เช่นการจัดทำแผนลดการปล่อยก๊าซมีเทนแห่งชาติของจีนเอง

ทั้งนี้ โจ ไบเดน และสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และจีน มีกำหนดที่จะร่วมประชุมผ่านทางวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ในสัปดาห์หน้า เพื่อลงรายระเอียดของกรอบความร่วมมือในการบรรลุเป้าหมายการลดโลกร้อน โดยนักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า การบรรลุเป้าหมาย 1.5C จะช่วยให้มนุษยชาติไม่ต้องเผชิญกับหายนะทางสิ่งแวดล้อมในแบบที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้น