ไม่พบผลการค้นหา
วรวิทย์ สุขบุญ ยืนยันกรณีข้อวิพากษ์ การยืมของเพื่อนแล้วคืน ไม่ต้องชี้แจงต่อป.ป.ช. เช่นเดียวกับกรณีของ 'ประวิตร' ยืมนาฬิกาเพื่อน

นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษก ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏข่าวว่าในงานสัมมนา ส.ส. เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มี ส.ส. สอบถามวิทยากรผู้แทนของสำนักงาน ป.ป.ช. ว่าการยืมของหรือยืมนาฬิกาเพื่อนจะต้องแจ้งทรัพย์สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือไม่ ซึ่งต่อมามีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสื่อมวลชนและสาธารณชนว่าการยืมทรัพย์สินของบุคคลอื่นไม่ต้องนำมาแจ้งในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. นั้น สำนักงาน ป.ป.ช. 

ขอเรียนชี้แจงว่า การกำหนดให้เจ้าพนักงานของรัฐมีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความโปร่งใสให้ระบบการเมืองและระบบราชการ เป็นการป้องกันการทุจริตและเป็นมาตรการเสริมในด้านการปราบปรามการทุจริต เพื่อตรวจสอบว่าระหว่างที่เจ้าพนักงานของรัฐดำรงตำแหน่งได้ใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาประโยชน์จนร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ โดยกฎหมายกำหนดให้ผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตนเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมถึงทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าว ที่มอบหมายให้อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. 

โดยบทบัญญัติของกฎหมายมีความมุ่งหมายให้แสดงทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลดังกล่าว นอกจากนั้นการยื่นบัญชีต้องยื่นตามแบบที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดซึ่งรายการทรัพย์สินและหนี้สินตามแบบที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด ประกอบไปด้วยรายการทรัพย์สินจำนวน 9 รายการ ได้แก่ 1. เงินสด 2. เงินฝาก 3. เงินลงทุน 4. เงินให้กู้ยืม 5. ที่ดิน 6. โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 7. ยานพาหนะ 8. สิทธิและสัมปทาน 9. ทรัพย์สินอื่น และหนี้สินจำนวน 4 รายการ ได้แก่ 1. เงินเบิกเกินบัญชี 2. เงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 3. หนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ 4. หนี้สินอื่น

นายวรวิทย์ กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นสอบถามเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ยืมบุคคลอื่นมาจะต้องนำมาแสดงในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหรือไม่ มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ต้องนำมาประกอบการพิจารณา

คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 640 “กำหนดว่ายืมใช้คงรูป คือ สัญญาที่บุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สิน สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว” 

ส่วนมาตรา 650 กำหนดว่า “ยืมใช้สิ้นเปลือง คือ สัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกำหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น” 

ดังนั้น กรณียืมใช้คงรูปกรรมสิทธิ์ยังเป็นของผู้ให้ยืม เพียงแต่ผู้ยืมยังคงมีหน้าที่จะต้องคืนทรัพย์สินแก่เจ้าของตามข้อตกลงที่ให้ยืมหนี้ตามสัญญายืมใช้คงรูป จึงไม่ได้กำหนดไว้ในแบบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ต้องแสดงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่วนกรณียืมใช้สิ้นเปลือง โดยเฉพาะการยืมเงิน กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ยืมมาได้โอนมาเป็นของผู้ยืมและผู้ยืมมีหนี้ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงกำหนดรายการหนี้สินดังกล่าวไว้ในแบบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ต้องนำมาแสดงตามที่ปรากฏอยู่ในรายการหนี้สิน 4 รายการข้างต้น

ทั้งนี้หากมีประเด็นการยืมทรัพย์สินระหว่างกันและมีการกล่าวหาร้องเรียนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นการยืมทรัพย์สินกันจริงหรือไม่ หรือเป็นการกล่าวอ้างของผู้ยื่นบัญชี คณะกรรมการป.ป.ช. ต้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นรายกรณีไป ดังเช่น กรณีมีเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับรถยนต์ยี่ห้อโฟล์กสวาเก้นท์ที่พบอยู่ในบ้านพักอาศัยของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม โดยมีการกล่าวอ้างว่าบุคคลอื่นให้ยืมใช้ทรัพย์สินซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าเป็นทรัพย์สินของนายสุพจน์ ที่ต้องนำมาแสดงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. 

ขณะที่กรณีที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนเกี่ยวกับนาฬิกาที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สวมใส่ในสถานที่ต่างๆ จำนวนหลายเรือน ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า พล.อ.ประวิตร ได้ยืมเพื่อนมาใส่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วคืนกลับไป จึงไม่เป็นทรัพย์สินของ พล.อ.ประวิตร ที่ต้องนำมาแสดงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นองค์กรบังคับใช้กฎหมาย การพิจารณาวินิจฉัยเรื่องใด ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงพยานหลักฐาน และหลักกฎหมาย ที่ปรากฏในเรื่องนั้นไม่อาจพิจารณาวินิจฉัยตามความรู้สึกหรือกระแสสังคมในทางใดทางหนึ่งได้

อ่านเพิ่มเติม