ไม่พบผลการค้นหา
"โควิดไม่ได้หายไป แต่เราใช้ชีวิตตามปกติร่วมกับมันได้" 'สิงคโปร์' เปลี่ยนแผนรับมือโควิดเรียนรู้อยู่กับไวรัส ระดมฉีดวัคซีน เลิกนับเคสคนติดเชื้อ ปูทางกลับไปใช้ชีวิตปกติ

สถานการณ์โควิดที่บรรดากลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ต่างกำลังเผชิญการระบาดระลอกใหม่ภายในประเทศกันอย่างหนักหน่วง ทว่าตรงข้ามกับสิงคโปร์ที่ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในประเทศอยู่ในระดับเพียงหลักสิบราย นับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ปัจจุบันนับตั้งแต่พบการระบาด ข้อมูล ณ วันที่ 2 ก.ค. สิงคโปร์มียอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 62,579 ราย เสียชีวิตที่ 36 คน

ท่ามกลางการระบาดของโควิดที่ยังคงอยู่ในทั่วโลก เป็นเหตุให้รัฐบาลสิงคโปร์ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีลีเซียนลุง ต้องคิดวางแผนมองไปข้างหน้าสู่อนาคตที่จะเตรียมพร้อมให้ชาวสิงคโปร์เรียนรู้อยู่เพื่ออยู่กับไวรัส โดยตอนหนึ่งในคำแถลงของนายกฯ สิงคโปร์ กล่าวว่า

"เราไม่อาจขจัดไวรัสโควิดให้หมดไป แต่สามารถบริหารจัดการกับมัน ให้เสมือนกับเป็นไข้หวัดธรรมดาได้"

ลีเซียนลุง ยังได้วางแผนให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งมีอยู่ราว 5.7 ล้านคน โดยตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ครบ 2 เข็ม แก่ประชากรจำนวน 2 ใน 3 ของประเทศ ก่อนถึงวันชาติ 9 สิงหาคมนี้ อีกทั้งยังมีการประกาศแผนแนวทาง (Roadmap) ที่รัฐมนตรี 3 สามคนลงนามเห็นพ้องร่วมกันคือ คิม หย่ง รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม, ลอว์เรนซ์ หว่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอ่อง อี๋ คัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งแผนดังกล่าวเปิดเผยผ่านหนังสือพิมพ์เดอะเสรตส์ไทมส์ (The Straits Times) ฉบับวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีใจความสำคัญหลักคือ ยกเลิกล็อกดาวน์ ยกเลิกการติดตามผู้สัมผัสกรณีพบผู้ป่วยติดเชื้อ และให้ประชาชนเดินทางไปที่ไหนก็ได้แบบไม่ต้องกักตัว ทำกิจกรรมรวมกลุ่มกัน และรัฐบาลจะหยุดนับจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน

สิงคโปร์ ท่องเที่ยว.jpg


แผนรับมือปัจจุบันไม่ยั่งยืน

คณะทำงานด้านโควิดของสิงคโปร์มองว่า ความพยายามในการกดตัวเลข "ผู้ติดเชื้อให้เป็นศูนย์" นั้นไม่ยั่งยืนเสียเหลือเกิน ดังนั้น การอยู่ร่วมกับโควิดเป็นวิธีที่สามารถทำให้เดินไปข้างหน้าได้ดีกว่า 

"ข่าวร้ายคือ โควิดจะไม่หายไปไหน แต่ข่าวดีคือ เป็นไปได้ที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมัน ... เราสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ระบาดให้เป็นอะไรที่ดูคุกคามน้อยกว่า เหมือนไข้หวัด โรคมือเท้าปาก โรคอีสุกอีใส แล้วใช้ชีวิตต่อไปได้"

โรดแมปของสิงคโปร์นี้ อาจใช้เป็นแม่แบบสำหรับประเทศอื่นๆ เพื่อคืนชีวิตปกติให้ประชาชน เปิดการท่องเที่ยว เปิดเศรษฐกิจ การเดินทาง ให้กลับมาเหมือนเดิม หลังประชาชนต้องทนทรมานกับโควิดมานานกว่านับปี

ตามแผนของรัฐบาลสิงคโปร์ได้กำหนด 4 หมุดหมาย สำคัญคือ 

  • 1. การเร่งกระจายฉีดวัคซีนในวงกว้าง ด้วยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เน้นสร้างภูมิคุ้มกันอย่างยั่งยืน 
  • 2. การตรวจหาเชื้อด้วยความรวดเร็ว ด้วยการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจเชื้อได้ง่ายและหลายวิธี รัฐบาลสิงคโปร์ได้แจกจ่ายชุดตรวจหาแอนติเจนแบบเร็ว (antigen rapid test) รวมทั้งชุดตรวจหาเชื้อด้วยตนเองที่บ้าน และกำลังจะจัดหาอุปกรณ์ใหม่ๆ มาใช้งาน เช่น ชุดตรวจหาเชื้อจากลมหายใจ (breathalyzer) ซึ่งใช้เวลาเพียง 1-2 นาทีในการตรวจ รวมทั้งชุดตรวจหาเชื้อในน้ำเสียจากอาคารบ้านเรือน ซึ่งสามารถระบุแหล่งคลัสเตอร์ได้
  • 3. มุ่งมั่นค้นหาวิธีรักษาที่ได้ผลดีกว่าเดิม ในบทความระบุว่าสิงคโปร์ได้ให้การรักษาผู้ป่วยโควิดด้วยวิธีที่หลากหลาย รวมถึงมียาอีกหลายสูตรที่ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วลดอาการป่วยลุกลามและเสียชีวิต โดยกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์จะยังคงติดตามข่าวสารการพัฒนายาและวิธีรักษาใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
  • 4. ความรับผิดชอบต่อสังคม ชาวสิงคโปร์จะสามารถอยู่กับโควิดและใช้ชีวิตตามวิถีความเป็นปกติใหม่ (New Normal) บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมที่ทุกคนรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลได้ดี และช่วยกันลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ รวมถึงการรับรู้และการยอมรับของคนในสังคมว่าว่าโควิดจะไม่น่ากลัวอีกอีกต่อไปและจะกลายเป็นเพียงโรคประจำท้องถิ่นที่มาตามฤดูกาล 
สิงคโปร์ใช้มาตรการเว้นระยะห่าง_รอยเตอร์

เดินหน้าสู่ชีวิตวิถีปกติใหม่

ขณะที่ ความรับผิดชอบต่อสังคมภายใต้บริบทวิถีปกติใหม่ (New Normal) ด้วยมาตรการทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น การตอบสนองเวลาที่พบผู้ติดเชื้อโควิดในสิงคโปร์จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บรรทัดฐานในการดำรงชีวิตแบบใหม่อาจเป็นดังนี้

  • 1. Home Isolation ผู้ติดเชื้อจะรักษาตัวและพักฟื้นที่บ้านจนหายดี เพราะเมื่อได้รับวัคซีนแล้ว ความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิตมีน้อย จึงไม่ต้องกังวลว่าคนไข้จะล้นโรงพยาบาล และทุกคนได้รับการรักษาอย่างทั่วถึง
  • 2. เนื่องจากประชาชนสามารถทดสอบการติดเชื้อได้ด้วยตนเองและดำเนินการกักตัวทันที ด้วยชุดเครื่องมือที่ใช้ง่ายและรู้ผลได้รวดเร็ว ทางการจึงไม่สูญเสียทรัพยากร เพราะไม่จำเป็นต้องสอบสวนโรค 
  • 3. รัฐบาลสิงคโปร์จะมุ่งให้ความสำคัญกับผลการรับมือ ซึ่งก็คือจำนวนผู้ป่วยหนักในไอซียู รวมทั้งผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แทนที่การดูสถติจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน
  • 4. สามารถเดินหน้าผ่อนคลายมาตรการบริหารความปลอดภัยต่าง ๆ สามารถกลับมาจัดงานชุมนุม อย่าง งานเฉลิมฉลองวันชาติและขึ้นปีใหม่ได้เช่นเดิม รวมถึงการดำเนินธุรกิจก็กลับมาเป็นปกติ
  • 5. การเดินทางจะกลับมาเป็นปกติ อย่างน้อยก็สามารถไปประเทศที่ควบคุมการติดเชื้อและเปลี่ยนโควิดให้เป็นโรคประจำถิ่นได้สำเร็จเช่นเดียวกัน โดยจะมีใบรับรองการฉีดวัคซีนของทั้งสองฝ่าย ผู้ที่จะเดินทางสามารถรับการตรวจหาเชื้อได้ก่อนออกเดินทาง และได้รับการยกเว้นไม่ต้องกักตัว หากผลตรวจขณะถึงปลายทางเป็นลบ

จากข้อมูล ณ วันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา สิงคโปร์แจกจ่ายวัคซีนเข็มแรกแก่ประชาชนไปแล้ว 5.37 ล้านคน ขณะที่รับครบสองเข็มแล้วราว 2.09 ล้าน หรือคิดเป็น 36.7% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ โดยสิงคโปร์มีวัคซีนพื้นฐานเป็นชนิด mRNA คือไฟเซอร์ กับ โมเดอร์นา โดยทั้งสามรัฐมนตรีแห่งพ้องว่า "การจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ จะช่วย ลดความเสี่ยงการติดเชื้อและแพร่เชื้อ แล้วถ้าติดเชื้อ ก็ช่วยลดอาการรุนแรงของโควิดได้" และเมื่อตัวเลขผู้ป่วยใหม่รายวันที่ลดลงเหลือเพียงหลักสิบราย รัฐบาลสิงคโปร์จึงปฏิบัติต่อโควิด เหมือนกับโรคไข้หวัด ด้วยการสังเกตการณ์เฉพาะผู้ป่วยที่อาการหนักจริงๆ ขณะที่จะอนุญาตให้คนติดเชื้อรักษาที่อาการไม่หนักมากสามารถกักและรักษาตัวที่บ้านได้ พร้อมกับจัดหายาสำหรับการรักษาหรืออุปกรณ์เวชภัณฑ์และชุดยังชีพในขณะการรักษาตัวที่บ้าน พร้อมกับมีการติดตามจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างใกล้ชิด เมื่อทำเช่นนี้ “รัฐบาลก็กังวลน้อยลงกับการที่ระบบสาธารณสุขงานล้นมือ”

สิงคโปร์ โควิด

และเมื่อพูดถึงตัวแปรเกี่ยวกับเชื้อโควิดกลายพันธุ์ ว่าหากสิงคโปร์กลับมาใช้ชีวิตปกติแล้ว เชื้อกลายพันธุ์ซึ่งติดเชื้อได้ง่าย แพร่ได้เร็ว และกำลังเป็นที่วิตกอยู่ในหลายประเทศนั้นจะก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสาธารณสุขในอนาคตหรือไม่นั้น ด้านรัฐบาลสิงคโปร์มีแผนเตรียมใช้ "วัคซีนเข็มสาม" หรือ ‘Booster Shot’ ให้ประชาชน เป็นโครงการฉีดวัคซีนต่อเนื่องระยะยาวในอีกหลายปี ขณะที่การตรวจโรคและสังเกตการณ์โควิดยังคงมีอยู่ แต่จะกระทำต่อเมื่ออยู่ในสถานการณ์พิเศษ อาทิ ก่อนจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ หรือมีผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ แทนที่การไปติดตามและกักตัวผู้สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ โดยรัฐบาลจะส่งชุดตรวจโควิดที่ง่ายและรวดเร็วกว่า เข้าถึงง่ายกว่าการตรวจแบบ PCR ที่ใช้เวลานานเกินไป อาทิ การตรวจแบบเร็ว (Rapid Test) หรือใช้เครื่องตรวจโควิดแบบเป่าที่ใช้เวลาเพียง 1-2 นาทีก็รู้ผลบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง

การใช้ชีวิตของชาวสิงคโปร์กำลังจะกลับเข้าสู่วิถีชีวิตปกติอย่างที่เคยเป็นมา ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการมีคุณภาพชีวิตที่ดีจะมาพร้อมกับการมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ 

ที่มา: Reuters , BBC , Straitstimes