ไม่พบผลการค้นหา
สมชาย ปรีชาศิลปกุล ระบุ 4 เหตุผล ไม่เห็นด้วยกับ 'สำนักงานศาลยุติธรรม' กรณีการประกันตัวและสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราว ยืนยันคดีการเมืองเวลานี้ ไม่เป็นไปตามหลักการกฎหมายอันเป็นสากล

เมื่อวันที่ 24 เม.ย. สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอบโต้ พงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม

ตามที่ พงษ์เดช ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของศาล “ยุติธรรม” ในเรื่องที่เกี่ยวกับการประกันตัวในหลายคดีที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 นั้น โดยได้ยืนยันว่าทางศาลได้ให้ความสำคัญกับสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราวและชี้แจงถึงหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่นำมาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่

สมชาย กล่าวว่า มีความไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งต่อคำชี้แจงดังกล่าว โดยมีเหตุผลดังต่อไปนี้

ประการแรก หลักการของระบบกฎหมายสมัยใหม่ก็คือ การยืนยันในหลักของการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน (presumption of innocence) อันมีความหมายว่าเมื่อบุคคลใดถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดแล้ว ในเบื้องต้น ต้องสันนิษฐานและปฏิบัติต่อเขาในฐานะของผู้ที่บริสุทธิ์ไว้ก่อน ลำพังเพียงการมีข้อกล่าวหาใด ๆ ยังไม่อาจทำให้บุคคลนั้นต้องเสียสิทธิพื้นฐานตามที่ตนเองพึงมี 

หลักการดังกล่าวนี้ถือเป็นสิทธิพื้นฐานของระบบกฎหมายในโลกสมัยใหม่อันเป็นผลมาจากประสบการณ์อันขมขื่นของมนุษยชาติในอดีตซึ่งเคยยึดถือหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นอาชญากร ซึ่งได้ละเมิดและทำร้ายกับบุคคลที่เพียงถูกกล่าวหาอย่างอยุติธรรม รัฐธรรมนูญและกฎหมายอาญาของนานาอารยะประเทศในห้วงเวลาปัจจุบันล้วนแต่รับรองหลักการข้อนี้ไว้อย่างหนักแน่น เช่นเดียวกันกับที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญและกฎหมายอาญาของไทย ความข้อนี้นักเรียนกฎหมายต่างรับรู้กันเป็นอย่างดีจึงแทบไม่ต้องอธิบายในรายละเอียดแต่อย่างใด

ประการที่สอง การยอมรับหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์นำมาสู่การวางหลักเกณฑ์ว่าหากบุคคลใดเผชิญกับข้อกล่าวหาในคดีอาญา การประกันตัวจะถือว่าเป็น “บทหลัก” ที่ต้องได้รับการปฏิบัติ

ส่วนการควบคุมตัวภายใต้อำนาจรัฐนั้นจะเป็น “ข้อยกเว้น” โดยทั่วไปการควบคุมตัวจะอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์สำคัญ 2 ข้อ คือ มีพฤติกรรมแสดงให้เห็นถึงการพยายามหลบหนีจากคดี หรือการเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน อันถือเป็นเงื่อนไขลำดับต้น ส่วนกรณีอื่น ๆ นับเป็นเงื่อนไขในลำดับรองซึ่งหากจะนำมาพิจารณาประกอบก็ต้องเป็นไปอย่างเคร่งครัด โดยต้องยึดถือหลักการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้เป็นอันดับแรก

ประการที่สาม กรณีการกล่าวอ้างว่าการควบคุมตัวผู้ต้องหาด้วยเหตุผลว่า “กฎหมายมุ่งป้องกันมิให้จำเลยหรือผู้ต้องหาไปกระทำซ้ำในสิ่งที่ถูกฟ้องร้องหรือถูกกล่าวหาว่าเป็นความผิด” การให้เหตุผลในลักษณะดังกล่าวย่อมทำให้เข้าใจไปได้ผู้ตัดสินมีแนวโน้มจะเห็นว่าการกระทำของผู้ต้องหานั้นเป็นความผิดแล้ว สมมติว่าหากเปิดโอกาสให้มีการต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรมแล้ว ต่อมาภายหลังศาลได้ยกฟ้องต่อข้อกล่าวหาที่มีต่อผู้ต้องหา บุคคลใดจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนเหล่านี้  

ประการที่สี่ ตามที่นายพงษ์เดช ได้มีการอ้างอิงถึงข้อมูลว่าศาลได้มีการอนุญาตให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวสูงถึงร้อยละ 91.26 ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปล่อยตัวชั่วคราวนั้นมีอัตราสูงเป็นอย่างมากจริง ดังจะพบว่าในหลายคดีก็ล้วนได้รับการประกันตัว เช่น คดีบอส อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดงที่ขับรถชนตำรวจตาย, คดีนักธุรกิจยิงเสือดำ เป็นต้น

แต่คำถามสำคัญก็คือว่าในคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ได้มีการอนุญาตปล่อยตัวเป็นสัดส่วนจำนวนเท่าใด กรณีเหล่านี้ต่างหากเป็นข้อพิพาทอันนำมาซึ่งความสงสัยต่อการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายตุลาการ

จากที่กล่าวมาทั้งหมด ผมจึงไม่สามารถมีความเห็นเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากการยืนยืนว่าการประกันตัวที่เกิดเป็นข้อโต้แย้งกับคดีการเมืองในห้วงเวลานี้ไม่ได้เป็นไปตามหลักการทางกฎหมายอันเป็นสากล รวมทั้งไม่สอดคล้องกับระบบกฎหมายสมัยใหม่เป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา พงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งคำถามต่อการพิจารณาและมีคำสั่งของศาลยุติธรรมในการร้องขอปล่อยชั่วคราวในคดีอาญาบางคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลยุติธรรม ว่า ศาลยุติธรรมให้ความสำคัญกับสิทธิในการปล่อยชั่วคราวของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาตลอดมา ว่าเป็นสิทธิประการหนึ่งของผู้ต้องหาในคดีอาญา ท่านประธานศาลฎีกาเองก็ให้นโยบายที่เน้นย้ำถึงการลดการคุมขังที่ไม่จำเป็นในทุกขั้นตอน แต่การพิจารณาและมีคำสั่งศาลจำเป็นต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนด ประกอบกับพฤติการณ์และความจำเป็นในแต่ละคดีซึ่งย่อมมีความแตกต่างกัน

พงษ์เดช กล่าวว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 ได้กำหนดให้ศาลอาจสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว หากปรากฎกรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่ออันตรายประการอื่น หรือการปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนหรือการดำเนินคดี โดยเมื่อเจ้าพนักงานหรือศาลจะไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวก็ต้องระบุเหตุผลโดยอ้างอิงไปยังเหตุตามกฎหมายด้วย กรณีที่เกรงว่าจำเลยหรือผู้ต้องหาอาจก่ออันตรายประการอื่นนั้น กฎหมายมุ่งป้องกันมิให้จำเลยหรือผู้ต้องหาไปกระทำซ้ำในสิ่งที่ถูกฟ้องร้องหรือถูกกล่าวหาว่าเป็นความผิดหรือกระทำความผิดอย่างอื่น หากจำเลยหรือผู้ต้องหาคนใดมีพฤติการณ์หรือแนวโน้มที่จะกระทำเช่นนั้นและไม่มีมาตรการอื่นใดที่จะป้องกันได้ ศาลย่อมไม่อาจปล่อยชั่วคราวได้ การที่กฎหมายกำหนดในลักษณะดังกล่าว เพื่อให้ศาลชั่งน้ำหนักระหว่างสิทธิของจำเลยกับความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของผู้เสียหาย ชุมชนและสังคมที่ต้องพิจารณาประกอบ นอกเหนือจากสิทธิของจำเลย

"หลักการกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ใช้ในประเทศไทยในปัจจุบันสอดคล้องกับหลักการสากล ที่การพิจารณและมีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราว เป็นกรณีที่ศาลต้องพิจารณาตามพฤติการณ์แต่ละคดีภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 9 เองก็ได้กำหนดไว้ด้วยว่าอาจมีการควบคุมผู้ต้องหาหรือจำเลยระหว่างพิจารณาได้ เพียงแต่ไม่พึงใช้มาตรการดังกล่าวเป็นการทั่วไปเท่านั้น"

เลขาธิการ ส.ศาลยุติธรรม กล่าวว่า ในบางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักรได้กำหนดไว้ใน Criminal Justice and Public Order Act 1994 และ The Bail Act 1976 กำหนดให้ศาลอาจมีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราวได้เว้นแต่ในบางกรณี กฎหมายห้ามมิให้ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราวในความผิดบางประเภท และศาลอาจไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยอาจไม่กลับมามอบตัวต่อศาลหากได้รับการปล่อยตัวไป หรืออาจกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งอีกในระหว่างการปล่อยชั่วคราว ประเทศออสเตรเลียก็มีบทบัญญัติทำนองเดียวกัน

"ในการควบคุมตัวระหว่างการพิจารณา แม้จะทำให้จำเลยหรือผู้ต้องหาถูกจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง แต่หาได้ทำให้ถึงขนาดขาดความสามารถในการต่อสู้คดีอย่างมีนัยสำคัญ เพราะตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ฯ จำเลยหรือผู้ต้องหามีสิทธิปรึกษาและให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีแก่ทนายความของตนได้อย่างเต็มที่ และอาจปรึกษาเป็นการลับก็ได้หากมีความจำเป็น ในการดำเนินคดี การสืบพยานและซักถามพยานในกระบวนพิจารณาตามปกติ ทนายความซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่มีความรู้โดยเฉพาะทางกฎหมาย สามารถช่วยเหลือและเป็นตัวแทนของจำเลยหรือผู้ต้องหาได้อยู่แล้ว หากมีการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนแก่ทนายความ ทนายความย่อมดำเนินการต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อตระเตรียมคดีในการว่าต่างแก้ต่างให้แก่จำเลยได้เช่นเดียวกับแนวปฏิบัติในคดีทั่วๆ ไปอีกเป็นจำนวนมาก"

พงษ์เดช กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ หากผู้ขอปล่อยชั่วคราวไม่เห็นด้วยกับคำสั่งไม่อนุญาตของศาล ก็สามารถอุทธรณ์ไปยังศาลที่สูงกว่าได้ หรือสามารถยื่นขอปล่อยชั่วคราวใหม่ได้โดยมิได้จำกัดจำนวนครั้งของการยื่นคำร้อง ซึ่งทางปฏิบัติ ก็มีกรณีที่หากมีข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงจากเดิม แล้วศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว แม้จะเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตก่อนหน้านั้นก็ตาม เพราะการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นการใช้ดุลพินิจในกรอบของกฎหมาย ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาลจากในคำร้องหรือทางไต่สวน ดังนั้น การใช้ดุลพินิจในแต่ละคดีแม้จะเป็นข้อหาเดียวกัน ก็อาจจะแตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่ปรากฏในแต่ละคดีและแต่ละช่วงเวลาว่าปรากฏเหตุอันควรไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวตามกฎหมายหรือไม่

ในปี 2563 ที่ผ่านมา จำเลยหรือผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวรวม 237,875 คดี ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวถึง 217,904 คดี หรือคิดเป็นร้อยละ 91.26 ย่อมแสดงให้เห็นว่าการพิจารณาและมีคำสั่งของศาลยุติธรรมได้ตระหนักและให้ความสำคัญต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาหรือจำเลยเสมอมา และไม่ได้เป็นการพิจารณาและมีคำสั่งไปในทางใดทางหนึ่งด้วยเหตุอื่นใด นอกเหนือจากเหตุผลตามที่กฎหมายกำหนด

ในการพิจารณาพิพากษาคดีความต่างๆ ศาลยุติธรรมทุกศาลย่อมพิจารณา ให้ความสำคัญและรับฟังเหตุผลและข้อต่อสู้ของทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น หากจำเลยหรือผู้ต้องหามีข้อต่อสู้หรือเหตุผลที่จะอธิบายหรือชี้แจงเกี่ยวกับการกระทำที่ถูกกล่าวหา หนทางที่ดีที่สุดคือการตระเตรียมเหตุผล ตลอดจนข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ใช้สนับสนุนร่วมกับทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายให้มีความครบถ้วนตามที่ต้องการ จึงจะทำให้ศาลสามารถนำเหตุผลและข้อเท็จจริงเหล่านั้นมาประกอบการพิจารณาได้

"ประการสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ศาลยุติธรรมดำเนินการเสมอมาที่จะทำให้กระบวนพิจารณาทุกๆ คดีดำเนินไปได้ด้วยความรวดเร็วภายในเวลาอันสมควร หนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายจึงน่าจะเป็นการที่ทุกฝ่ายร่วมมือตามบทบาทหน้าที่ของตนในการทำให้การดำเนินคดีดำเนินไปตามครรลองและกระบวนการที่ควรจะเป็นตามกฎหมาย เพื่อสุดท้ายแล้วศาลจะได้มีโอกาสพิจารณาพยานหลักฐาน เหตุผลและข้อต่อสู้ของทุกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา ครบถ้วนและพิพากษาคดีได้อย่างเป็นธรรม" พงษ์เดช กล่าว