ไม่พบผลการค้นหา
ปี 2563 งบฯ การทหารในระดับโลกนั้นมีจำนวนสูงถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ถึง 2.6% - ไทยใช้งบการทหารติดอันดับที่ 27 ของโลก และมีกำลังพลสูงเป็นอันดับที่ 9 ของเอเชีย

ท่ามกลางกระแสความร้อนแรงของการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการแก้ปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การใช้งบประมาณในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของหน่วยงานทางทหาร

ทั้งประเด็นเรื่องโครงการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ในงบประมาณ 22,000 ล้านบาท รวมไปถึงโครงการการจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส ซี 295 จำนวน 3 ลำ ราคาลำละ 1,200 ล้านบาทของกองทัพบก ว่ามีความเหมาะสมและจำเป็นหรือไม่เพียงใดในสถานการณ์เช่นนี้ 


สถานการณ์โลก

จากรายงาน Trend In World Military Expenditure 2020 ขององค์กร Stockholm International Peace Research Institute (SIPRI) พบว่าในปี 2563 งบฯ การทหารในระดับโลกนั้นมีจำนวนสูงถึง 1.981 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 64.26 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ถึง 2.6% 

5 ประเทศที่ใช้งบฯ ทางการทหารสูงสุด ในปี 2563 ได้แก่ 1.สหรัฐอเมริกา 7.78 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 2.จีน 2.52 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 3.อินเดีย 72,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 4.รัสเซีย 61,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 5.สหราชอาณาจักร 59,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ งบประมาณรวมของทั้ง 5 ประเทศนี้ ถือเป็น 62% ของงบฯ ทางการทหารของโลก

สำหรับสหรัฐอเมริกา พบว่างบฯ เพิ่มขึ้นถึง 4.4% จากปี 2562 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกันเป็นปีที่สามแล้ว ในขณะที่ก่อนหน้านั้นลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกันนานถึง 7 ปี ส่วนใหญ่ลงไปที่การวิจัยและพัฒนา และโครงการปรับปรุงคลังอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ

ขณะที่ประเทศจีน ซึ่งมีการใช้งบฯ ทางการทหารสูงเป็นอันดับสองนั้น เพิ่มขึ้น 1.9% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ 26 แล้ว อันเป็นผลมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ถึงอย่างนั้นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้จีนลดงบประมาณทางการทหารในส่วนของการศึกษาและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศลง แต่งบฯ ในส่วนของการปกป้องดินแดนยังคงเพิ่มสูงมากขึ้น

หากดูที่อัตราการเพิ่มขึ้นของงบประมาณทางการทหารนั้น จะพบว่าประเทศที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของงบประมาณทางการทหารสูงสุด 5 อันดับแรกของโลกก็คือ อูกันดา เพิ่มขึ้น 46% ตามมาด้วยเมียนมา เพิ่มขึ้น 41% ชาด เพิ่มขึ้น 31% มอนเตเนโกรและไนจีเรีย เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น 29% 

แต่หากพิจารณาจากสัดส่วนของงบประมาณทางการทหารต่อจีดีพีของประเทศ จะพบว่า ประเทศที่มีสัดส่วนของงบประมาณทางการทหารต่อจีดีพีของประเทศสูงสุด 5 อันดับแรกของโลก ส่วนใหญ่อยู่ในแถบตะวันออกกลาง ได้แก่ โอมาน 11% ของจีดีพี ซาอุดิอาระเบีย 8.4% ของจีดีพี คูเวต 6.5% ของจีดีพี อิสราเอล 5.6% ของจีดีพี และจอร์แดน 5% ของจีดีพี

ถึงแม้ว่าภูมิภาคอเมริกาจะเป็นภูมิภาคที่มีงบประมาณทางการทหารโดยรวมมากที่สุด แต่หากพิจารณาถึงอัตราการเพิ่มขึ้นของงบประมาณทางการทหารจะพบว่า ภูมิภาคที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ แอฟริกา 5.1% ตามมาด้วยยุโรป 4% อเมริกา 3.9% และเอเชียและโอเชียเนีย 2.5%


ประเทศไทยและเอเชีย

จากสถานการณ์ข้อพิพาทในแถบทะเลจีนใต้ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างจีนและเวียดนาม จากเหตุการณ์การ์ดชายฝั่งจีน หรือ China Coast Guard (CCG) จมเรือประมงเวียดนามใกล้กับเกาะพาราเซล หรือกรณีพิพาทหมู่เกาะเซ็งกากุ ระหว่างญี่ปุ่นและจีน รวมไปถึงปัญหาเขตเศรษฐกิจพิเศษทางเหนือของเกาะบอร์เนียวระหว่างจีนและมาเลเซีย แม้กระทั่งความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวัน หรือเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ทำให้ประเทศในแถบนี้ต่างใช้งบประมาณทางการทหารเพิ่มขึ้น 

หรือแม้กระทั่งเวียดนาม โดยในปลายปี 2562 เวียดนามได้เผยแพร่สมุดปกขาวว่าด้านการป้องกันประเทศฉบับแรกในรอบทศวรรษ ท่ามกลางแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากปักกิ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเผชิญหน้ากันระหว่างเรือเดินทะเลของเวียดนามและจีนในน่านน้ำรอบสันดอนแวนการ์ด ในหมู่เกาะสแปรตลีย์ก่อนหน้านี้ ในปี 2563 เวียดนามได้สั่งซื้อดาวเทียมเฝ้าระวังจากประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

จากรายงาน The Military Balance 2021 ของ The International Institute For Strategic Studies (IISS) ในปี 2563 พบว่าประเทศส่วนใหญ่ในโซนเอเชียและโอเชียเนียนั้นต่างเพิ่มงบประมาณทางการทหารแทบทั้งสิ้น แม้ว่าจะอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ตาม โดยประเทศที่เพิ่มงบประมาณทางการทหารสูงกว่า 20% คือไต้หวันและปาปัวนิวกินี 

สำหรับประเทศไทย จากรายงาน Trend In World Military Expenditure 2020 ของ SIPRI ในปี 2563 มีการจัดอันดับให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้งบประมาณทางการทหารสูงสุดเป็นอันดับ 27 ของโลก

ก้าวขึ้นมาจากอันดับที่ 30 ของโลกในปี 2562 และเป็นอันดับที่ 9 ของเอเชีย และถือเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมาจากสิงคโปร์และอินโดนีเซีย

1 .jpg

ไม่เพียงแค่นั้น จากรายงาน The Military Balance 2021 ของ IISS ยังให้ข้อมูลว่างบประมาณทางการทหารของประเทศไทย ถือเป็น 1.5% ของทวีปเอเชียและโอเชียเนีย และไทยมีทหารประจำการสูงสุดเป็นอันดับ 9 ของทวีปเอเชียและโอเชียเนีย โดยมีจำนวนถึง 360,850 นาย แบ่งออกเป็น กองทัพบก 245,000 นาย กองทัพเรือ 69,850 นาย กองทัพอากาศ 46,000 นาย กองทหารรักษาพระองค์ 87 หน่วย และกองกำลังกึ่งทหาร ทั้ง ตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจน้ำ อาสาสมัคร กองบินตำรวจ ตำรวจท้องที่ และทหารพราน รวมแล้วกว่าอีก 93,700 นาย 

ทว่า หากพิจารณาจากงบประมาณประจำปีของกระทรวงกลาโหมจะพบว่า มีการปรับลดลงมาในช่วงปี 2563-2565 โดยเฉพาะงบประมาณในปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 203,282 ล้านบาท ที่ลดลงจากปี 2564 ถึง 11,248.6 ล้านบาท หรือ 5.24%

2 .jpg

ถึงอย่างนั้นก็ยังเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยการนำงบกระทรวงกลาโหมไปเปรียบเทียบกับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้งบประมาณ 153,940.5 ล้านบาท ลดลง 2.74% 

ขณะที่ภาพรวมของงบประมาณนั้นพบว่า งบประมาณว่าด้วยการป้องกันประเทศลดลง 4.9% ในขณะที่งบประมาณว่าด้วยการสาธารณสุขลดลงถึง 10.8%

โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งเรือดำน้ำและเครื่องบินแอร์บัสที่กล่าวไปแล้วข้างต้น และย้อนไปในปี 2563 ที่มีการจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยางสไตรเกอร์กว่า 100 คัน อันเป็นงบประมาณผูกพันถึงปี 2565 หรือในปี 2562 กับการจัดซื้อรถถังหลัก VT4 จากจีน 11 คัน และรถหุ้มเกราะล้อยางสไตรเกอร์ M1126 จำนวน 47 คัน จากสหรัฐอเมริกา (ได้ฟรี 23 คัน)

โดยประเทศไทยนั้นมักทำการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหารจากจีน ยูเครน และสหรัฐอเมริกา เป็นหลักมาตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2557

3 .jpg

หมายเหตุ : จำนวนยุทโธปกรณ์หมายถึงจำนวนยุทโธปกรณ์ทั้งหมดที่หน่วยงานมี โดยอาจรวมถึงที่ปลดประจำการแล้ว ไม่ใช่งบจัดซื้อประจำปี