ประเทศไทยถือเป็นดินแดน ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น 'กะเหรี่ยง' หรือ 'ชนเผ่ามานิ' ซึ่งพวกเขาต่างผูกผันกับป่า และคุ้นชินกับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันหลายพื้นที่หลายเผ่าพันธุ์ ยังมีอุปสรรคในการเข้าถึงการบริการด้านสาธารณสุข ซึ่งเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตอยู่ เนื่องจากแหล่งพักอาศัยตั้งอยู่ในดินแดนห่างไกลการบริการ
เหล่านี้ที่เกิดขึ้นกลายเป็นแรงผลักให้ ‘บิว ศรีธารโต’ หนึ่งในคนรุ่นใหม่ของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่วาดหวังอาชีพในฝัน เพื่อนำสิ่งที่เรียนรู้มาประยุกต์และดูแลคนในชุมชนมานิ
‘บิว ศรีธารโต’ คือเมล็ดพันธุ์ใหม่ บนเทือกเขาบรรทัด ‘บุตรสาวแห่งชนเผ่ามานิ’ จังหวัดสตูล ผู้เติบโตมากับอารยธรรมของคนในป่าใหญ่
ชื่อของเธอเป็นที่รู้จัก เมื่อเรื่องราวถูกแชร์ผ่านโลกออนไลน์ หลังสอบติดคณะพยาบาลศาสตร์ และวิทยาการสุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ด้วยผลการเรียนเกรดเฉลี่ย 3.08 โดยมีผู้คนเข้ามาแสดงความยินดีและป้อนคำชื่นชมผ่านตัวอักษรเป็นจำนวนมาก
นอกจากความสำเร็จที่รอวันพิสูจน์ในรั้วมหาวิทยาลัย ‘วอยซ์’ ได้ชวนเธอมาเปิดใจ เพื่อกะเทาะความฝัน เปลือยเรื่องราวชีวิตในแวดล้อมของสังคมเมือง
ปัจจุบัน ‘บิว ศรีธารโต’ ศึกษาที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 42 จังหวัดสตูล ถือเป็นบ้านอีกหลัง เมื่อก้าวย่างออกจากชุมชนบ้านเกิด
เธอเติบโตมาในครอบครัวใหญ่ บิวเป็นพี่คนโตและมีน้องอีก 3 คน ฐานะที่บ้านค่อนข้างยากจน โดยพ่อและแม่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป เป็นอีกแรงผลักให้เธอไฝ่เรียนรู้ และเดินตามความฝัน
เธอเล่าว่าด้วยค่านิยมการปลูกฝังความเชื่อ เสมือนตำนานชนเผ่ามานิ กลายเป็นกำแพงให้หลายครอบครัวไม่อนุญาตให้เด็กเข้าถึงระบบการศึกษา เนื่องจากความกังวลเมื่อเด็กต้องห่างไกล จากการดูแลของพ่อแม่ จะก่อเกิดความสัมพันธ์ที่ไกลห่าง
“แต่ครอบครัวฉันอนุญาตให้มาเรียนตั้งแต่อนุบาล เพื่อให้อยู่กับคนอื่นในสังคมที่แตกต่างจากพวกเราได้”
แน่นอนว่าตลอดระยะเวลาการเข้าสู่สังคมเมื่อ 11 ปีที่แล้ว จวบจนปัจุบัน ร่องรอยระหว่างทางย่อมถูกบันทึกเก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดดูแคลนความต่าง ผลักให้เป็นคนนอกในห้องเรียน แต่หาใช่อุปสรรคที่เธอต้องสยบยอมในสถานศึกษา
“เมื่อก่อนเคยมีเพื่อนล้อ เป็นคนป่าหัวหยิก ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ ตอนนั้นก็น้อยใจ ทำให้ไม่กล้าอยู่กับคนอื่น มีความรู้สึกกลัว แต่หลังจากผ่านไป 11 ปี เพื่อนในโรงเรียนก็ให้การยอมรับมากขึ้น และปฏิบัติเท่าเทียมเหมือนกับคนทั่วไปในห้อง”
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นภูมิต้านทานที่ถูกสังเคราะห์จากคำเย้ยหยัน บิวได้พิสูจน์ด้วยผลงานและการเรียนที่อยู่ในเกณฑ์ดี เป็นอีกหนึ่งหัวกะทิของโรงเรียน
เพื่อบอกกล่าวให้คนรอบตัวรู้ว่าแม้เธอจะเป็น ‘คนมานิ’ ที่โดนดูถูกว่าเป็น ‘เงาะป่า-ซาไก’ จากคนเมือง แต่บิวกลับเมินเฉยคำพูดเหล่านั้น และยังภูมิใจกับอัตลักษณ์ที่เธอเป็น
“ถ้าเข้าไปใช้ชีวิตมหา’ลัย ฉันจะไม่สนคำพูดเหล่านั้น เพราะฉันภูมิใจกับสิ่งที่เป็น”
หลายชีวิตต้องสูญเสียไป เนื่องจากการเดินทางเข้าสู่เมือง เพื่อเข้ารักษาในโรงพยาบาลจังหวัด เป็นไปด้วยความยากลำบาก เธอจึงฉุกคิดว่าอาชีพเดียวที่จะช่วยชีวิตผู้คนได้คือ ‘พยาบาล’
“ฉันอยากเป็นพยาบาล เพราะมันเป็นความฝันตอนเด็ก ที่อยากดูแลครอบครัวและคนรอบข้าง”
‘บิว’ สำทับแรงบันดาลใจ และเล่าบรรยากาศกลางหุบเขาจากความทรงจำ ซึ่งคนในชนเผ่า มักใช้สมุนไพรที่เป็นภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษ รักษาอาการป่วยไข้ เพื่อประทังชีวิต
“ถ้าเรียนจบอยากจะใช้ความรู้ที่เรียนมา ประยุกต์ใช้กับองค์ความรู้ในชุมชน เพื่อรักษาคนในครอบครัว และชุมชนต่างๆ”
แม้ต้องสู้กับความคิดและขนบ ซึ่งเป็นอีกช่องว่างระหว่าง 'วิทยาศาสตร์' และ 'วิถีดั้งเดิม' แต่เธอยังเชื่อว่าการนำแพทย์แผนปัจจุบันไปใช้ในบ้านเกิด จะสามารถเปิดใจคนมานิ ให้หันมาใช้ควบคู่กับสมุนไพรในท้องถิ่นได้