ไม่พบผลการค้นหา
จัดงานรำลึก 11 ปี เหตุการณ์ 10 เมษาฯ แกนนำ นปช. กล่าวขอบคุณหนุ่มสาวสานต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย เหวงระบุต้องได้รัฐบาลประชาชนจึงจะทวงความเป็นธรรมสำเร็จ ขณะที่ณัฐวุฒิแนะผู้มีอำนาจอำมหิตกว่าที่คาด ยึดสันติวิธีให้มั่นอย่าให้เขาย้อมริราบขาเป็นเหยี่ยวก่อนปราบ

การชุมนุมของคนเสื้อแดงหรือ นปช.ปี 2553 เกิดขึ้นตั้งแต่ 12 มี.ค.-19 พ.ค. มีข้อเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ ‘10 เมษา’ เป็นวันสำคัญเพราะนับเป็นจุดสตาร์ทความสูญเสียจากการสลายการชุมนุมด้วยกระสุนจริงที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค.53 หรือ ศปช. เปิดข้อมูลสำคัญตลอดการชุมนุมในปี 2553 ว่า

-         3,000 นัด คือการเบิกกระสุนสำหรับซุ่มยิง (สไนเปอร์) โดยใช้จริง 2,120 ส่งคืน 880

-         117,923 นัด คือจำนวนนัดของกระสุนที่เจ้าหน้าที่ใช้ในการสลายการชุมนุม

-         700,000,000 บาท คืองบที่ตำรวจใช้กับกำลังพล 25,000 นาย

-         3,000,000,0000 บาท คืองบที่ทหารใช้กับกำลังพล 67,000 นาย

-         1,283 คน คือจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด

-         1,763 คน คือจำนวนคนที่ถูกจับกุมระหว่างการชุมนุมและถูกดำเนินคดี

-         94 คน คือจำนวนคนเสียชีวิต

-         88 คน คือจำนวนผู้เสียชีวิตที่เป็นผู้ชาย

-         6 คน คือจำนวนผู้เสียชีวิตที่เป็นผู้หญิง

-         10 นาย คือเจ้าหน้าที่รัฐที่เสียชีวิต (ในจำนวนนี้มีตำรวจ 3 นาย)

-         2 คน คือสื่อมวลชนที่เสียชีวิต (สัญชาติญี่ปุ่นและอิตาลี)

-         6 คน คืออาสากู้ชีพ/อาสาพยาบาลที่เสียชีวิต

-         32 คน คือผู้เสียชีวิตที่โดนยิงที่ศีรษะ

-         12 ปี คืออายุของผู้เสียชีวิตที่อายุน้อยที่สุด ( ด.ช.อีซา เป็นเด็กกำพร้า)

10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน10 เม.ย. 64 รำลึกสดุดีวีรชน

วันที่ 10 เมษายน 2564 ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และอีกหลายกลุ่มได้ร่วมจัดงานรำลึก 11 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุม 10 เมษายน ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเฉพาะในวันนั้นรวม 25 คน เป็นประชาชน 20 คน เจ้าหน้าที่ทหาร 5 คน ผู้มาร่วมงานรำลึกในปีนี้มีราว 200-300 คน ภายในงานมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตและมีพวงหรีดเป็นจำนวนมาก นอกจากพวงหรีดของกลุ่มองค์กรคนเสื้อแดงแล้ว ยังมีพวงหรีดของพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อชาติ และกลุ่มคนรุ่นใหม่อีกหลายกลุ่ม อาทิ ศาลายาเพื่อประชาธิปไตย, ราษฎร, ราษฎรมูเตลู, นักเรียนเลว, เสรีเทยพลัส, คณะจุฬาฯ , นาตาชาเพื่อไทย, เฟมินิสต์ปลดแอก, ม็อบเฟส, ศิลปะปลดแอก, We Volunteer

@ขอบคุณคนหนุ่มสาว เสื้อแดงอาภัพได้รับการต้อนรับในยุคนี้

สำหรับงานรำลึกในปีนี้ ธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธาน นปช.ได้กล่าวว่าผ่านเวลามา 11 ปีแต่การเสียชีวิตของประชาชนจำนวนมากยังไม่มีใครรับผิดชอบ อีกทั้งผู้มีส่วนร่วมในการสังหารก็ยังคงมีอำนาจปกครองในปัจจุบัน

“ปี 2516 มีอนุสรณ์สถานตรงนี้ กว่าจะได้ก็ผ่านมา 20 กว่าปี ปี 2519 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พยายามทำให้ อย่างน้อยให้จัดงานรำลึก ปี 2535 มีอนุสาวรีย์ที่สวนสันติพร แต่ปี 2553 แต่ยังเป็นความเลวร้ายที่ความยุติธรรมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เราพยายามหมดทุกทาง ไม่ว่าการต่อสู้ในศาล ในองค์กรอิสระซึ่งพิพากษาแทนศาล ที่สำคัญที่สุด แม้กระทั่งการจัดงานแต่ละปีก็ต้องร่อนเร่จัดหลังจากปี 2557 ต้องพูดว่าเป็นความอาภัพของคนเสื้อแดงและวีรชนปี 2553 แต่นี่คือภารกิจของคนมีชีวิต ต้องกู้เกียรติยศ เอาความจริงคืนมาให้ได้” ธิดากล่าว

ธิดากล่าวด้วยว่า ขอขอบคุณการตื่นตัว การต่อสู้ของเยาวชนซึ่งหลายที่ได้พยายามกู้เกียรติยศคนเสื้อแดง เพราะเขาได้พบว่า สิ่งที่คนเสื้อแดงทำล้วนเป็นเส้นทางที่นำประเทศไปข้างหน้า ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนจริง เราต้องการหีบลงคะแนนแต่สิ่งที่ได้คือหีบศพ ในนามของวีรชน ในนามญาติวีรชน ในนามของประชาชนที่สู้มาตั้งแต่ปี 2553 ขอขอบใจ ขอขอบคุณ และมีความซาบซึ้งใจต่อการต่อสู้เปลี่ยนแปลงประเทศของเยาวชนทุกคน

หรีดที่ได้รับได้วันนี้ คือสิ่งใหม่ในการจัดงานรำลึกที่ไม่ใช่งานเชงเม้ง เพราะชี้ให้เห็นว่า วีรชน 53 ได้รับการคารวะ ได้รับการยกย่องจากคนรุ่นใหม่ ซึ่งบัดนี้เขาอยู่ในคุกเป็นจำนวนมาก คนที่สู้มาก่อนจะปล่อยให้เด็กๆ ติดกรงขังอยู่อย่างนี้ ทั้งที่เขาเป็นอนาคตของประเทศได้อย่างไร

“ขอเรียกร้องให้ปล่อยตัวอนาคตของชาติที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำ ปล่อยตัวนักโทษการเมืองที่เห็นต่าง ให้ประกันตัวสำหรับกฎหมายหมิ่นทุกอย่าง เราไม่รู้ว่าขณะนี้กองทัพไทยเป็นสายอะไร สมัยโบราณมีสายเหยี่ยวกับสายพิราบ...แต่ทหารยุคใหม่ไม่มีสายพิราบ มีแต่เหยี่ยวกับแร้งอย่างเดียวหรือเปล่า พวกนี้ไม่เคยรู้ว่าสงครามประชาชน 2519 ปัญญาชนไปอยู่ในป่าเป็นสิบปี จำนวนนับหมื่นคน แต่ประเทศยังเปลี่ยนมาสงบได้ สายเหยี่ยวและแร้งอาจไม่เข้าใจว่าต้องเจรจาอย่างไรให้ประเทศเดินต่อไปได้ จุดเริ่มต้นคือ ปล่อยตัวเยาวชนทุกคน” ธิดากล่าว

@ทวงความยุติธรรมกับผู้กระทำเป็นไปไม่ได้ ต้องได้รัฐบาลของประชาชนเท่านั้น

นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กล่าวว่า ปัจจุบันนี้คนรุ่นใหม่ก่อรูปเป็นขบวนการต่อสู้ใหม่ และน่าดีใจกว่านั้นคือพวกเขาเชื่อมหลอมเป็นกระแสธารเดียวกันกับคนเสื้อแดงเมื่อ 11 ปีก่อน และคนเสื้อแดงก็มีความพร้อมเข้าร่วมกับการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่อย่างมีชีวิตชีวา คนรุ่นใหม่ได้วิเคราะห์และเสนอก้าวย่างให้ประเทศนี้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริงจนตกผลึกเป็น 3 ข้อเรียกร้องและ 1 ความฝันซึ่งตนเห็นด้วยทุกประการ คนเสื้อแดงควรต้องเข้าร่วมและสนับสนุนกระแสการต่อสู้ประชาธิปไตยของคนรุ่นใหม่อย่างรับผิดชอบและเอาการเอางานตามสภาพความเป็นจริงของตัวเอง

เหวงกล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน พวกเราต้องตามทวงถามความยุติธรรมคืนให้ประชาชนผู้เสียชีวิต การหวังความยุติธรรมจากองคาพยพของผู้กระทำย่อมเป็นไปไม่ได้ ประชาชนต้องต่อสู้ให้ได้รัฐบาลของประชาชนที่แท้จริง เพียงเท่านั้นจึงจะสามารถนำฆาตรกรและผู้สั่งฆ่ามาลงโทษทางกฎหมายได้ หากว่าทั้งหมดนี้เป็นไปไม่ได้ในประเทศไทย ก็ต้องเดินเส้นทางสากล ต้องเอากรณีรุมยิงนกในกรงไปดำเนินกคดีอาญาที่ศาลระหว่างประเทศ เราจะดำเนินการให้สำเร็จไม่ว่าจะใช้เวลานานสักเท่าไรก็ตาม

@ขอสันติวิธีคนรุ่นใหม่แจ่มชัด อย่าให้เขาย้อมพิราบเป็นเหยี่ยวก่อนปราบ

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า เด็กๆ กำลังต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่พวกเราทำมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ไม่เป็นธรรมมเลยถ้าต้องปล่อยให้เขาแบกรับปัญหา ลุกขึ้นมาแก้ปัญหา และให้เขาบอบช้ำยิ่งขึ้นไปอีกจากความพยายามออกจากวังวนปัญหา พวกเรานี่แหละต้องช่วยกัน ต้องกอดลูกหลานไว้แล้วแสดงความสำนึกต่อคนหนุ่มสาวปัจจุบันว่าเราผิดไปแล้ว และเราจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีกต่อไป ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น บ้านเมืองนี้ถึงที่สุดปลายทางก็หลีกเลี่ยงความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในที่สุด สายลมความเปลี่ยนแปลงจะกลายเป็นมหาพายุใหญ่ของความเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นเช่นนั้นมันต้องแลกมากับความสูญเสีย มันต้องแลกกับชีวิตเลือดเนื้ออิสรภาพของคนหนุ่มสาวอีกจำนวนเท่าไร

“อยากให้การจัดงานรำลึกองคนถูกฆ่าตายจากการต่อสู้ทางการเมืองปี 2553 เป็นการรำลึกสุดท้าย ไม่ต้องมีการรำลึกปีอื่นๆ อีกต่อไป ขอขอบคุณด้วยหัวใจจริงๆ สำหรับพวงหรีดทุกพวง โดยเฉพาะเยาวชนคนหนุ่มสาว เชื่อว่า ถ้าดวงวิญญาณคนสูญเสียบนถนนนี้เมื่อ 11 ปีที่แล้วได้รับทราบพวกเขาก็จะภาคภูมิใจ เขาจะกล่าวคำขอบคุณเหมือนที่ผมกำลังพูดแทนอยู่นี้ พวกเขาเป็นประชาชนคนธรรมดา ชาวไร่ชาวนาจากต่างจังหวัด มามือเปล่า ชุมนุมในเมืองหลวง ถูกฆ่าตายโดยในมือไม่มีอาวุธ หลังจากถูกฆ่าตาย พวกเขาไม่มีแม้แต่ที่ยืนในประวัติศาสตร์ ไม่มีอนุสรณ์สถาน ไม่มีอนุเสาวรีย์ ไม่มีคดีความ ไม่มีความรับผิดชอบหรือสำนึกจากผู้มีอำนาจที่สังหาร แต่เวลาผ่านไปสิบกว่าปี พวกเขามีพวงหรีดของคนรุ่นลูกรุ่นหลาน มีพลังของคนหนุ่มสาวที่เรียกขานเขากลางท้องถนน แสดงความเข้าใจ แสดงความเห็นใจ ขอบอกคนหนุ่มสาวเยาวชนที่กำลังต่อสู้ทุกคน ในนามคนเสื้อแดง ผมสำนึกบุญคุณของคนหนุ่มสาว สำนึกบุญคุณที่น้องๆ ได้สร้างอนุสาวรีย์ของเพื่อนเราในหัวใจของผู้คน” ณัฐวุฒิกล่าวและขอให้ดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตช่วยคุ้มครองคนหนุ่มสาว

“พลังบริสุทธิ์นี้แกร่งกล้า ห้าวหาญ แหลมคมเกินกว่าที่ผมจะจินตนาการได้ แต่คนมีอำนาจก็อำมหิตเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้เช่นเดียวกัน คนกลุ่มนี้คือคนกลุ่มเดียวกันกับที่เผชิญหน้ากับผม จึงอยากบอกพิราบสีขาวว่า จงโบยบินอย่างเสรีด้วยสันติวิธีอย่างแจ่มชัดแน่นอน อย่าเป็นเหยื่อของโทสะความโกรธแค้นที่ถูกกระทำ จนทำให้เขาย้อมสีนกพิราบกลายเป็นเหยี่ยว เพราะเมื่อนั้น เขาจะเป็นฝูงพญาอินทรีย์เข่มฆ่าน้องๆ แบบที่เขาทำกับพวกเรา”

“ในวาระนี้ขอส่งความปรารถนาดีไปสู่ญาติมิตรของเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องสูญเสียไปในวาระเหตุการณ์เดียวกัน เราไม่มีแม้เสี้ยวเจตนาที่จะทำร้ายกัน ไม่มีแม้เศษหนึ่งของความสุขที่เห็นท่านต้องสูญเสีย เราไม่เชื่อด้วยซ้ำไปว่าการออกมาชุมนุมมือเปล่าจะมีปืนติดลำกล้องจากตึกสูงจนคนตายไม่รู้ตัวอยู่กลางถนน ดังนั้น ขอได้รับเอาความรู้สึกเสียใจนี้ ความปรารถนาดีนี้ที่เราส่งมอบให้ และขอให้กำลังเจ้าหน้าที่รัฐเกิดสำนึกว่า ครั้งนั้นต้องเป็นครั้งสุดท้ายที่รัฐทำต่อประชาชน และมันต้องไม่มีอีกต่อไป” ณัฐวุฒิกล่าว