ไม่พบผลการค้นหา
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ระบุ 2 มาตรการเร่งด่วน หยุดการระบาดโควิด-19 ประสานหน่วยงานท้องถิ่นปูพรมตรวจทั่วประเทศ – กักตัว- ไม่ให้มีผู้ติดเชื้อเข้าสู่ประเทศโดยเด็ดขาด ชี้อย่ากลัวหากตัวเลขพุ่ง ยิ่งพบเร็วยิ่งฟื้นตัวเร็ว

ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์พิเศษ 'วอยซ์ออนไลน์' เรียกร้องรัฐบาลประกาศวาระแห่งชาติจัดการโควิด-19 โดยมีข้อเสนอ 2  ระยะ คือ ระยะ 21 วันที่เน้นการปูพรมตรวจเพื่อแยกตัวผู้ป่วยหรือผู้ที่เป็นพาหะออกจากชุมชน และระยะ 1-3 เดือน ซึ่งต้องมีนโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาทั้งภาคธุรกิจและประชาชน

โดยช่วง 21 วัน เน้นยุทธศาสตร์ 2 ประการคือ

1)     ปูพรมตรวจโควิด-19 ทั่วประเทศ กลั่นกรอง 3 ขั้น กำหนดนิยามผู้ที่ได้สิทธิตรวจฟรีเสียใหม่ ใครป่วย มีไข้ ไอ แยกกัก สังเกตอาการแล้วตรวจซ้ำอีกครั้ง

2)     การควบคุมไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มเติมในประเทศ ไม่ว่าโดยการประกาศปิดประเทศ หรือให้ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ต้องกักตัวภายใต้การดูแลของหน่วยงานรัฐในระยะเวลา 14 วัน ซึ่งผู้ที่กักตัวต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเอง

'วอยซ์ออนไลน์' เรียบเรียงข้อเสนอของคุณหญิงสุดารัตน์ โดยไม่ตัดทอน นับจากบรรทัดนี้

ให้กำลังใจ ต้องอยู่กับโควิด 19 อีกหลายเดือน จี้รัฐประกาศวาระแห่งชาติ

ขอให้กำลังใจพี่น้องชาวไทยที่เคารพรักทุกๆ ท่าน เราจะต้องต่อสู้กับวิกฤตโควิดครั้งนี้ไปด้วยกันให้ได้ ด้วยความมีสติแล้วไม่ประมาทรวมทั้งอย่าตระหนักจนเกินไป ทั้งภาครัฐและประชาชนต้องเตรียมความพร้อมในการต่อสู้กับวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งต้องยอมรับความจริงก่อนว่า โควิด-19 ต้องอยู่กับเราไปอีกระยะเวลานึง การเตรียมตัวเตรียมความพร้อมเตรียมใจของเราเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้เรามีผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อจำนวนมากขึ้นทุกวัน จึงจำเป็นอย่างยิ่งรัฐบาลต้องยกระดับมาตรการที่จะควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้รวดเร็วมากที่และค้นพบผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุด จึงถึงเวลาแล้วค่ะที่เราจะยกระดับการควบคุมการระบาดให้เป็นวาระแห่งชาติ

ขอให้รัฐบาลประกาศวาระแห่งชาติให้การสยบวิกฤตโควิดภายในเวลา 21 วัน ด้วยมาตรการดังต่อไปนี้

1.มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดภายในประเทศ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการที่จะทำให้การแพร่ระบาดโควิดครั้งนี้สยบลงไปได้ เราต้องประกาศเลยว่าจากนี้ไปเราจะมีปฏิบัติการการค้นหา ปูพรมค้นหาผู้ติดเชื้อทั่วประเทศทุกหมู่บ้านในระยะเวลา 21 วัน

แล้วในระยะเวลา 21 วันนี้ เราจะปฏิบัติการ 3 รอบ โดยใช้กลไกของสาธารณสุข ซึ่งมีโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล และมีอสม.ที่ดูแลทุกหมู่บ้านอยู่แล้ว และกลไกของกระทรวงมหาดไทยร่วมสนับสนุน เอกซเรย์พื้นที่ ใครที่มีอาการเป็นหวัด เป็นไข้ เจ็บคอ เรานำเขาเข้าสู่ระบบ เข้าโรงพยาบาลเพื่อได้รับการตรวจ

หัวใจสำคัญอยู่ที่ว่ารัฐบาลต้องสนับสนุน ให้การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ฟรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพราะจะเป็นหัวใจสำคัญตั้งแต่ screening (คัดกรอง) โดยต้องทำ screening test เพื่อที่จะดูว่าคนที่เจ็บป่วยเป็นไข้เป็นหวัดติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ เมื่อเข้าสู่ระบบได้ ก็รักษาเร็วได้ ค้นหาผู้ติดเชื้อได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งทำให้ประชาชนปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น โดยรัฐบาลไม่ต้องกลัวว่ามาตรการปูพรมเอกซเรย์พื้นที่ทุกหมู่บ้านค้นหา จะเป็นการเพิ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่เข้ามา

จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่ม ไม่ต้องกลัว ยิ่งพบเร็ว ประชาชนปลอดภัยเร็ว เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว

จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้น ไม่ต้องกังวลค่ะ เราสามารถทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนให้มั่นใจได้ว่า ถ้าเราเปิดมาตรการนี้ปูพรมค้นหาผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้รวดเร็วให้ได้จำนวนมากที่สุด นั้นหมายถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนที่อยู่ด้านนอก

เพราะคนที่ติดเชื้อนั้นอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว มีอาการหรือไม่มีอาการสามารถเข้ามาอยู่ในระบบการดูแล หมายถึงว่าผู้ติดเชื้อที่จะไปใช้ชีวิตในสังคมน้อยลง โอกาสของประชาชนก็จะปลอดภัยมากขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วขึ้นด้วย

มาตรการที่ 1 ใช้งบราว 300  ล้านบาท – ไม่สูงเมื่อเทียบกับการช่วยสกัดการระบาด

ด้วยมาตรการที่ 1 คือหลักการในการควบคุมการระบาดที่มีอยู่ในประเทศให้ลดลง การควบคุมการระบาดภายในประเทศหัวใจอยู่ที่ว่าค้นพบผู้ติดเชื้อได้เร็วและมีจำนวนมากเอาผู้ติดเชื้อรายใหม่เข้าระบบให้ได้มากที่สุด นี่คือหัวใจค่ะ

ดังนั้นเราจึงเสนอมาตรการที่จะเอกซเรย์ปูพรมทั้งประเทศทุกหมู่บ้านในการค้นหาผู้ติดเชื้อรายใหม่โดยใช้กลไกของสาธารณสุข ที่มีทั้งโรงพยาบาลชุมชน ที่มีทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล และมี อสม.ที่ช่วยดูแล 1 คนต่อ 10 บ้านอยู่แล้วทุกหมู่บ้าน และใช้กลไกของกระทรวงมหาดไทยช่วยส่งเสริมสนับสนุน

ถามว่าเราจะปูพรมแบบนี้เพื่ออะไร ก็เพื่อค้นหาผู้ที่มีอาการไอ ไข้ขึ้น หรือเป็นหวัดเข้ามาสู่ระบบในการตรวจ และสิ่งสำคัญค่ะการตรวจหาเชื้อโควิดนั้นรัฐต้องสนับสนุนงบประมาณให้ตรวจฟรี ให้ตรวจมากที่สุด ค้นหาผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ได้เร็วที่สุดมากที่สุด และใช้งบประมาณไม่เยอะเลยค่ะ ให้เลยว่า screening test กับ PCR (ตรวจหาเชื้อ) หัวนึงถ้าสมมติว่า 3,000 บาท นี่ก็มากแล้วนะคะ เราก็ใช้งบแค่ประมาณ 300 ล้านบาทเอง ในการตรวจ 100,000 คน ซึ่งเอาจริงตรวจไม่ถึงหรอกค่ะ เราต้องสนับสนุน รัฐต้องกล้าตัดสินใจที่สนับสนุนให้มีการตรวจเชื้อโควิด-19 ฟรี

ปรับเกณฑ์คนมีสิทธิตรวจฟรี ใครเป็นไข้ ไอ เจ็บคอต้องได้ตรวจคัดกรองขั้นต้น

ปรับเกณฑ์การตรวจคัดกรอง ไม่ใช่แค่ผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ ไม่ใช่แค่ผู้ที่สัมผัสผู้ที่เดินทาง หรือผู้ที่อยู่ในการทำงานสาธารณะ ขณะนี้เราจะพบว่ามีการติดเชื้อรายใหม่ที่ยังไม่ทราบที่มาที่ไป

ดังนั้นการปูพรมทั่วประเทศหาผู้ที่เป็นไข้ เป็นหวัด ตัวร้อน เจ็บคอ เข้าสู่ระบบให้เร็วที่สุด มากที่สุด โดย screening test ก่อน ได้จำนวนหนึ่ง เราก็มากักตัวภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ จากนั้นสามารถตัดสินใจได้ว่าผู้นั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นโควิด-19 หรือเปล่า แล้วก็ไปตรวจคอมเฟิร์มอีกที

สั่งปิดสถานที่ต่างๆ ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่ปูพรมตรวจ กักตัวผู้เสี่ยงติดเชื้อ

วันนี้การที่จะปิดสถานที่บันเทิง ปิดโรงเรียน ดีค่ะ ปิดการ traffic (เคลื่อนย้ายคน) ปิดการเดินทาง ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายมากนักถูกต้อง แต่มันยังไม่จบเพราะมันยังไม่จบ ไม่มี End game ตรงนี้คือเมื่อปิดแล้วจำเป็นจะต้องเปิดปฏิบัติการค้นหาผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ได้มากที่สุดเร็วที่สุด และหยิบผู้ติดเชื้อรายใหม่ออกจากสังคมเข้าสู่ระบบของสาธารณสุข

ถ้าเราปิดอย่างเดียวเราไม่หยิบผู้ติดเชื้อรายใหม่ออก มันก็เกิดการเคลื่อนย้ายในกลุ่มเล็กตั้งแต่หน่วยครอบครัวแล้วก็สามารถระบาดออกมาข้างนอกได้อีก

ดังนั้นหัวใจอยู่ตรงนี้ค่ะ เราจึงเสนอมาตรการแรกเปิดปฏิบัติการเอกซเรย์ทุกพื้นที่ทั่วประเทศทั้งในกรุงเทพมหานคร โดยกทม.ให้ความร่วมมือกับในต่างจังหวัดใช้กลไกสาธารณสุข ใช้กลไกกระทรวงมหาดไทยใครป่วยไข้เจ็บป่วยที่คล้ายคลึงกับอาการของโควิด-19 เราตรวจให้เลย ตรวจฟรีค่ะ ใช้งบประมาณนิดเดียวคุ้มมากและรัฐบาลอย่าไปกลัวว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากแล้วเราจะไม่ดี ไม่ใช่ค่ะ เข้าใจผิด ต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่ ความคิดใหม่

ยิ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อจากปฏิบัติการการค้นหาผู้ติดเชื้อรายใหม่มากเท่าไหร่ นั่นแปลว่าประชาชนที่อยู่ภายนอกจะปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น เราทำเร็วปฏิบัติการเร็วเสนอให้ปฏิบัติการ 3 รอบ รอบประมาณ 5-7 วัน ใช้เวลาทั้งหมด 21 วัน ที่ขอพี่น้องประชาชน ขอพี่น้องเพื่อนข้าราชการทุกท่าน ร่วมแรงร่วมใจทำงานการอย่างเต็มที่เพียง 21 วัน เราจะสามารถสยบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ลงไปได้อย่างแน่นอน

แล้วก็เป็นระยะของการ maintain (ตรึงสถานการณ์) ที่เราจะคล้ายคลึงกับไต้หวัน ใช้โมเดลของไต้หวันเราจะ maintain ไม่ให้มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศกระโดดสูง แต่มันอาจจะต้องมีอยู่ มันอาจจะยังไม่จบ จึงต้องใช้คำว่าสยบใน 21 วัน แต่มันจะทำให้ 1.คนไทยปลอดภัยจากการติดเชื้อ 2.จะทำให้สภาพจิตใจดีขึ้น 3.จะทำให้สภาพเศรษฐกิจดีขึ้นค่ะ เพราะวันนี้เกิดความไม่ชัดเจน เกิดความไม่แน่นอน เราไปปิดสถานบริการ ปิดโรงเรียน ปิดสถานบันเทิง ปิดสถานที่ต่างๆ โดยที่ไม่หยิบผู้ติดเชื้อออกไปมันไม่จบ มันต้องมี End Game

ดังนั้นวันนี้อยากให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลตัดสินใจทำ อย่ากลัวตัวเลขที่จะเพิ่มมากขึ้น ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เราพบเร็วและมากขึ้นนั่นหมายถึงความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปที่อยู่ภายนอกจะมีมากขึ้นด้วยค่ะ จบเร็วประชาชนปลอดภัยจบเร็วเศรษฐกิจฟื้นตัว

มาตรการที่ 2 ควบคุมไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มเติมในประเทศ

มาตรการที่ 2 คือการที่ไม่ปล่อยให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จากนอกประเทศเข้ามาเพิ่มเติมในประเทศอีกต่อไป

มาตรการนี้เรามีข้อเสนอให้รัฐบาลมี 2 ทางเลือก นายกรัฐมนตรตัดสินใจดูนะคะ

1.ก็คือการปิดการเดินทางจากต่างประเทศในประเทศที่มีการระบาดแล้วทุกประเทศไม่ให้ผู้โดยสารทั้งทางบก ทางเรือ เข้ามาสู่ประเทศไทยซึ่งหลายประเทศได้ดำเนินมาตรการนี้แล้วถ้ารัฐบาลยังไม่ดำเนินมาตรการนี้

ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งคือการที่เราประกาศตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคระบาด ให้ผู้ที่เดินทางจากประเทศที่มีการระบาด เมื่อเข้ามาสู่ประเทศไทยจะต้องเข้าระบบการกักกันโรคหรือ quarantine 100 เปอร์เซ็นต์ คือทุกคนที่เดินทางเข้ามาต้องถูกกักตัว 14 วันภายใต้ พ.ร.บ.โรคระบาด ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างเคร่งครัดไม่ใช่อย่างในปัจจุบันที่มีข่าวเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ว่ามีการเดินทางมาจากทางยุโรป ซึ่งเป็นประเทศที่มีการระบาดเยอะ แต่สามารถเดินทางผ่านเข้ามาได้เลยโดยไม่มีการตรวจหรือให้ผู้เดินทางจากต่างประเทศ quarantine ตัวเองโดยรายงานผ่านแอปพลิเคชัน

ทำแบบนี้หละหลวมแบบนี้ไม่จบค่ะ ต้องตัดสินใจเด็ดขาดแล้วก็ดำเนินมาตรการที่เข้มข้นถ้าไม่ปิดการเดินทางเข้ามา ก็เป็นทางเลือก 2 คือเลือกว่าทุกคนที่เดินทางทั่วประเทศเราประกาศล่วงหน้าเลยว่าต้องเข้าสู่การเฝ้าระวัง หรือ quarantine 14 วันเต็ม

ประสานโรงแรม เช่าเป็นที่กักตัวดูอาการ ผู้เดินทางเข้าประเทศต้องรับผิดชอบค่าใช่จ่ายเอง

วิธีการไม่ได้ยากเลยค่ะ วันนี้มีโรงแรมที่มีผู้พักน้อยเต็มไปหมด เราจำเป็นต้องใช้มาตรการ เช่าโรงแรมเหล่านั้น รัฐเช่าโรงแรมเหล่านั้นให้เป็นที่ quarantine (กักตัว) ผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ เราตรวจถ้ามีอาการนำเข้ารักษาอาการในโรงพยาบาล ไม่มีอาการไป quarantine หรือเฝ้าสังเกตอาการ 14 วัน ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขตาม พ.ร.บ.การควบคุมโรคระบาด ใครฝ่าฝืนมีความผิดทางกฎหมาย

ขณะเดียวกันใช้ระบบเข้าไปกำกับควบคุม ใช้มาตรฐานเข้าไปควบคุม เราดูแลเขาอย่างดีอยู่ในโรงแรม มีห้องน้ำแยก มีอาหารให้ เป็นไปตามมาตรการของสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ต้องทำทันทีแล้วเราสามารถประกาศได้ว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นนี้ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยนั้นต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายได้

เราสามารถทำได้ตาม พ.ร.บ.นี้ ต้องทำค่ะ อย่าให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เข้ามาเพิ่มเติมในประเทศอย่างเด็ดขาด อย่าปล่อยอย่างที่มีข่าวว่าเดินทางจากประเทศในยุโรปซึ่งเป็นประเทศที่ระบาดมากแต่ไม่มีการตรวจแม้แต่ที่สนามบิน อย่างนี้ไม่ได้นะคะ หละหลวมมาก

90222496_660555054680561_4242027121087610880_n.jpg

โดยข้อสรุปเสนอที่รัฐบาลต้องทำเร่งด่วนคือการประกาศให้การต่อสู้โควิดนี้เป็นวาระแห่งชาติในการจะสยบวิกฤตโควิดภายใน 21 วัน ด้วย 2 มาตรา 1.ค้นหาผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วประเทศทุกหมู่บ้านให้ได้มากที่สุดเร็วที่สุด ต้องปลดล็อกให้การตรวจโควิด-19 ฟรี ใครมีอาการเจ็บปวดเป็นไข้เป็นหวัด แสดงตัวเข้าโรงพยาบาล รับการตรวจ ตรวจหาผู้ติดเชื้อได้เร็วเท่าไหร่ ได้มากเท่าไหร่ นั้นแปลว่าเรากำลังสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนที่อยู่ภายนอกได้มากเท่านั้น 2.อย่าปล่อยให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เข้าประเทศต้องกำกับ ดูแลอย่างใกล้ชิด จะเลือกวิธีการไม่ให้มีการเดินทางเข้าประเทศจากประเทศที่มีการระบาดหรือจะเลือกการใช้ พ.ร.บ.ควบคุมโรคระบาดในการที่จะ quarantine หรือกักเฝ้าสังเกตอาการ 14 วันอย่างเคร่งครัด

ดูแลบุคลากรการแพทย์ เสนอเพิ่มเบี้ยเสี่ยงภัย

เลือกค่ะ ต้องตัดสินใจค่ะ วันนี้ต้องอาศัยความกล้าหาญของผู้นำในการตัดสินใจ ต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกท่านและประชาชนเราต้องฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันให้ได้ และที่สำคัญดิฉันขอฝากรัฐบาลว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ด่านหน้าก็คือแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เขาคือด่านแรกนะคะเป็นนักรบด่านแรกที่เขาต้องไปต่อสู้กับโควิด-19 ให้กับเรา ถ้ายังปล่อยให้เขาขาดอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ ซึ่งเป็นเหมือนกับเป็นเกราะกำบังตัวเอง ขาดงบประมาณ ขาดเครื่องมือในการดูแลประชาชน รักษาประชาชนซึ่งเปรียบเหมือนดาบ นักรบไปไม่รอดนะคะ

ดิฉันเสนอให้มีการจัดระบบใหม่ ต้องจัดสรรงบประมาณให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งอย่างเพียงพอและที่สำคัญคือต้องมีเบี้ยเสี่ยงภัยให้กับแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เป็นด่านหน้า ให้เขามีขวัญและกำลังใจ

ย้ำข้อเสนออีกครั้ง 21 วันปูพรม จบเร็ว ฟื้นตัวเร็ว

ขอความร่วมแรงร่วมใจจากทุกฝ่ายนะคะถ้าใช้มาตรการตามที่เสนอและทำตามนี้ได้ 21 วันค่ะ เราจะสยบโรคโควิด -19 ไม่ให้ระบาดกันอย่างไร้ทิศไร้ทางในปัจจุบันนี้ลงได้ 21 วันที่เราต้องร่วมแรงร่วมใจได้และเราจะสยบโควิดได้ค่ะ

จากนั้นเราจะสามารถ maintain สามารถควบคุมการระบาดได้ดีกว่านี้และแน่นอนค่ะ ที่เสนอเรื่องนี้จบเร็วชีวิตคนไทยปลอดภัยมากขึ้น จบเร็วเศรษฐกิจจะฟื้น ไม่ใช่วันนี้มีความคลุมเครือแล้วก็มีข้อสงสัยมีความหวาดระแวงต่างๆ เศรษฐกิจยิ่งทรุดมากกว่าโควิดอีกค่ะตอนนี้ ให้กำลังใจทุกท่านค่ะ 21 วันเราจะสามารถฝ่าวิกฤตไปด้วยกันได้

สำหรับพี่น้องประชาชนคะ มาตรการที่เสนอนี้อาจจะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงมากขึ้นแต่พี่น้องอย่าตกใจนะคะ ถ้าเราเปิดปฏิบัติการนี้ภายใน 21 วัน ค้นหา 3 รอบยิ่งเจอผู้ติดเชื้อมากขึ้นเท่าไหร่และเร็วเท่าไหร่นั่นหมายถึงว่าประชาชนทั่วไปจะมีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นเราร่วมแรงร่วมใจกันนะคะวิกฤตครั้งนี้เราจะต้องต่อสู้ไปด้วยกันให้ได้ค่ะ  21 วันที่เราจะร่วมแรงร่วมใจกัน จบเร็วคนไทยปลอดภัย จบเร็วเศรษฐกิจฟื้นเร็วค่ะ