ไม่พบผลการค้นหา
ผบ.ทบ.แจงเฮลิคอปเตอร์ทหารบินใจกลางกรุงหนุนภารกิจขบวนเสด็จ วอนอย่าเชื่อข่าวปลอมโยงรัฐประหาร จี้ตัดคำนี้ออกไปจากหน้าสื่อ อย่าให้ปรากฏอีก อัดประเทศกำลังดีขึ้นแต่มี 'ไอ้คนกลุ่มหนึ่ง' สร้างความไม่สงบ

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ชี้แจงถึงกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียที่มีการติดแฮชแท็กเฮลิคอปเตอร์ บินต่ำหลายจังหวัดจนเกิดข่าวลือรัฐประหาร ว่า การที่เฮลิเคอปเตอร์บินในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพมหานครนั้น เป็นส่วนหนึ่งของเฮลิคอปเตอร์ขบวนเสด็จ ที่กองทัพบกจัดขึ้นเพื่อสนองถวายงานโดยเป็นการร้องขอของสำนักพระราชวังผ่านกรมยุทธการทหารบก ซึ่งเป็นเรื่องทางราชการที่ไม่จำเป็นต้องนำเสนอข่าว จึงต้อง คิด วิเคราะห์พิจารณา ว่า การที่มีเฮลิคอปเตอร์มาบินแบบนี้มีสาเหตุจากอะไรไม่ใช่ไปตีความความต่างๆนานา และแชร์กันไปโดยไม่มีการสอบถามจากส่วนราชการ หรือก่อนลงข่าวควรมาถามกับกองทัพบกว่าเรื่องนี้คืออะไร

ส่วนที่ขณะนี้มีข่าวลือรัฐประหาร ทำให้คนนำเรื่องนี้มาโยงกัน พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า นักข่าวควรกลับไปพักผ่อนเยอะๆ เห็นหรือไม่ว่าเป็นเฟกนิวส์มาแล้วกี่ครั้ง ตนไปตรวจราชการชายแดน แต่ก็มีข่าวว่าตนไปประชุมที่โน้นที่นี่ตามที่มีกระแสข่าวเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา พอข่าวไม่เป็นจริง ถามว่าใครรับผิดชอบ เมื่อข่าวไม่เป็นจริง ทำไมไม่ถามกลับไปบ้างว่าทำให้หลอกลวงประชาชน ทำไมไม่มีกระแสตีกลับว่าหลอกลวงประชาชน กี่ครั้งแล้วที่มีข่าวแชร์ออกมาอย่างนี้ ดังนั้นการบริโภคข่าวต้องมีสติ ต้องเช็คและตรวจสอบก่อน อย่าไปเชื่อ และคงไม่ได้มีการเตือนแกนนำที่ปล่อยข่าว เพราะไม่ใช่คู่ขัดแย้ง โดยผู้ที่จะเตือนได้คือผู้สื่อข่าว เพื่อให้ประชาชนรับทราบได้ว่าอะไรคือข้อเท็จจริงและข่าวลวง 

ส่วนจะดูแลการชุมนุมในวันที่ 25 พ.ย. อย่างไร พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ตำรวจมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ในส่วนของสถานที่ราชการทางทหารก็จะทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยหากเจ้าหน้าที่ตำรวจร้องขอมาให้เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานก็จะมีการจัดเจ้าพนักงานไปทำหน้าที่ช่วยเหลือ แต่คนที่จะดูแลเรื่องกฎหมายและการปฏิบัติต่างๆว่าใครถูกต้องหรือไม่ถูกต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำหรับเขตพระราชฐานมีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้วว่าระยะเท่าใดที่เข้าไปได้ และการชุมนุมต้องอยู่ห่าง 150 เมตร โดยมีพระราชบัญญัติที่เป็นเรื่องของนักการเมืองและรัฐสภาทั้งสิ้น ไม่ใช่ทหารและตำรวจกำหนดเอง

ส่วนจะหมายความว่าการทำรัฐประหารไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ถ้าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยเรื่องเศรษฐกิจก็จะตามมา แต่ถ้าทำให้บ้านเมืองไม่เกิดความสงบ ปล่อยให้มีข่าวลือต่างๆ ถามว่าจะไปทำแบบนั้นทำไม เพราะคนไทยอีก 60 ล้านคนดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข เขาทำมาค้าขายได้กับไอ้คนกลุ่มหนึ่งที่มาสร้างความไม่สงบขึ้นมา คือต้องคิดและช่วยกัน สื่อต้องช่วยกันเพราะสำคัญ เนื่องจากคนเชื่อสื่อมากกว่าเชื่อตน

ถามว่า ทำไมข่าวลือการทำรัฐประหารจึงมีออกมาตลอดเวลา พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ตนไม่รู้ ตนถามว่าทำแล้วมันดีไหม ดีกับประเทศชาติ เศรษฐกิจหรือความเป็นอยู่ของประชาชนหรือไม่ ตนจึงบอกว่าอย่าไปคิดมาก สื่ออย่าไปพูดถึงคำนี้ ขอให้ตัดคำนี้ออกไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ หน้าสื่อ และโซเชียล อย่าให้ปรากฏอีก

ทั้งนี้ หากไม่มีทางออกอื่น พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ทุกอย่างต้องมีทางออก แต่จะเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง ถามว่าทางออกที่ไม่ดีที่ทำให้ประเทศและคนส่วนร่วมเดือนร้อน ตนพูดคนเดียวคนไม่เชื่อตน ตนพูดในกองทัพอาจจะเชื่อแค่คนในกองทัพ แต่ประชาชนจะเชื่อสื่อ ดังนั้นสื่อเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่ทำเพื่อขายคลิปหรือขายข่าวที่ขึ้นมาหนึ่งคำแล้วทำให้คนแตกตื่น

ส่วนที่ทุกครั้งที่มีการทำรัฐประหารก็มาจากการเกิดเหตุม็อบชนม็อบ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ทหารและตำรวจก็ห้ามไม่ได้ ซึ่งทุกคนต่างก็มีหน้าที่และต้องช่วยกันทำอย่างไรไม่ให้เกิดคงวามขัดแย้งที่รุนแรงเกิดขึ้น

เมื่อถามว่า มีเงื่อนไขจำเป็นอะไรที่จะทำให้ทหารออกมา พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง