ไม่พบผลการค้นหา
'สิงคโปร์' ประกาศผ่อนคลายนโยบายการเงิน ด้วยการปรับลดค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ให้อ่อนลงครั้งแรกในรอบ 3 ปีครึ่ง แก้ปัญหาผลกระทบสงครามการค้าจีน-สหรัฐ กดเศรษฐกิจสิงคโปร์โตไม่ถึงร้อยละ 1

ธนาคารกลางสิงคโปร์ในฐานะองค์การเงินตราแห่งประเทศออกมาประกาศผ่อนปรนนโยบายการเงินครั้งแรกในรอบ 3 ปีครึ่ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากปัญหาสงครามการค้าที่ยืดยื้อระหว่างจีนและสหรัฐฯ

ในฐานะประเทศขนาดเล็ก เศรษฐกิจสิงคโปร์พึ่งพิงการค้าเป็นหลัก ส่งผลให้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้าจากการขึ้นภาษีนำเข้าระหว่างประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งสอง ล่าสุดภาคการส่งออกของสิงคโปร์ติดลบเป็นเลข 2 หลัก เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจดังกล่าว ธนาคารกลางสิงคโปร์จึงออกแถลงการณ์ปรับลดอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์เทียบดอลลาร์สหรัฐลงเพื่อให้ค่าเงินท้องถิ่นอ่อนค่าลง

ในคำแถลงของธนาคารกลางสิงคโปร์ ระบุว่า "เริ่มมีสัญญาณว่า การชะลอตัวของ (เศรษฐกิจโลก) กระจายไปยังอุปสงค์ท้องถิ่นของประเทศคู่ค้าของสิงคโปร์บางแห่งในไตรมาสข้างหน้า และสถานการณ์นโยบายเศรษฐกิจมหภาคของประเทศเหล่านี้ยังมุ่งหน้าเข้าสู่ภาวะอ่อนลงเช่นเดียวกัน "

การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอินเดีย ซึ่งประเทศเหล่านี้ล้วนปรับลดความเข้มงวดของนโยบายการเงินลงด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา 

ขณะที่ ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของสิงคโปร์ในช่วงไตรมาสที่ 3 (ก.ค.-ก.ย. 2562) เติบโตเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งไม่ได้โตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/2562 นอกจากนี้ ตัวเลขในภาคการผลิตยังลดลงร้อยละ 3.5 จากผลผลิตในภาคอิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรรมพรีซิชั่น และวิศวกรรมการขนส่งที่ลดลง

ทั้งนี้ ตามข้อมูลจากธนาคารโลก ระบุว่าตัวเลขภาคการส่งออกของสิงคโปร์มีสัดส่วนสูงถึง 1.76 เท่าของจีดีพีสิงคโปร์ ในปี 2561 ดังนั้นการหดตัวใหภาคการผลิตจึงส่งผลกระทบมหาศาลต่อเศรษฐกิจโดยรวมทั้งประเทศ 

ดังนั้น รัฐบาลจึงออกมาปรับตัวเลขประมาณการจีดีพีในปี 2562 ลงเหลือเพียงร้อยละ 0 - 1 จากเดิมที่มองไว้ที่ร้อยละ 1.5 - 2.5  แล้วนอกจากเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวจะส่งผลกับสภาวะโดยรวมแล้ว ยังอาจส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปของสิงคโปร์ที่จะมีขึ้นในเดือนเม.ย. 2563 ด้วยเช่นกัน 

อ้างอิง; Nikkei Asian Review, CNA, The ASEAN Post