ไม่พบผลการค้นหา
พลันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยเมื่อ 10 พ.ย. 64 ชี้ว่าข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ของ 3 แกนนำเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทั้งยังสั่งห้ามเครือข่ายองค์กรกระทำการดังกล่าวในอนาคต สังคมไทยโดยเฉพาะในโลกออนไลน์ก็ลุกเป็นไฟ มีการถกเถียงเกี่ยวกับวินิจฉัยนี้มากมาย

คำถามหนึ่งซึ่งเป็นที่สงสัยกันมากคือ คำวินิจฉัยนี้จะส่งผลอย่างไรกับการดำเนินคดีอาญาทั้งคดีเก่าที่ค้างอยู่ และคดีใหม่ที่จะเกิดขึ้น หากคนรุ่นใหม่ยังคงเดินหน้าใช้เสรีภาพในการแสดงออก ‘วอยซ์’ สัมภาษณ์ไขข้อข้องใจนี้กับอาจารย์สาวตรี สุขศรี อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายอาญา จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ถาม: คำวินิจฉัยนี้จะส่งผลให้การพูดเรื่องข้อเสนอปฏิรูปสถาบันผิดกฎหมายอาญาทันทีหรือไม่ 

ตอบ : ไม่ได้ผิดทันทีอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กำหนดไว้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญสามารถสั่งให้ยุติการทำนั้นได้ เพราะฉะนั้นมันไม่ได้มีโทษทางอาญาใดๆ 

ถามว่าจะมีความผิดต่อมาในอนาคตได้ไหม มันก็มีโอกาส เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญโดยหลักจะผูกพันทุกองค์กร

ในคำวินิจฉัยเขียนเชื่อมโยงว่า ‘การกระทำในลักษณะนี้’ เป็นลักษณะของการล้มล้าง ซึ่งเป็นการตีความกว้างมากๆ และหากสังเกตดีๆ ในคำวินิจฉัยมีการพยายามยกถ้อยคำในมาตรา 116 มาพูดถึงด้วยเรื่องการทำให้ประชาชนกระด้างกระเดื่อง จึงคิดว่าในอนาคตหากมีการไปฟ้องคดีด้วย มาตรา 112 บ้าง 116 บ้าง ก็มีความเป็นไปได้ที่ศาลยุติธรรมจะรับฟ้อง โดยอาจหยิบยกเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาใช้และตัดสินไปว่าเป็นความผิดได้ 

ถาม : เป็นไปได้ไหมที่อาจมีการตีความพฤติการณ์กันถึงขั้นเป็นความผิดฐานกบฏ ตามมาตรา 113  

ตรงนั้นไปได้ไม่ถึงอยู่แล้วในมุมมองของนักกฎหมายอาญา เพราะการจะเป็นความผิดฐานกบฏได้ หรือจะฟ้องได้ ต้องเป็นเรื่องของการใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่ว่าใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งลักษณะของการชุมนุม การปราศรัยอะไรพวกนี้ไปไม่ถึง

ถาม : คำวินิจฉัยนี้จะส่งผลต่อคดีแกนนำทั้ง 3 คน และคดี 112 อื่นๆ อย่างไรหรือไม่ 

ตอบ : อันนี้ต้องดูรายละเอียดด้วย เพราะว่าในแต่ละคดีจะมีลักษณะของการกระทำที่แตกต่างกันไป และการตัดสิน ในศาลยุติธรรมก็ต้องดูว่าพฤติการณ์ที่ถูกฟ้องคดีมาเป็นพฤติการณ์ที่ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้พูดไว้ไหม ถ้าศาลตีความว่าเป็นพฤติการณ์ที่พูดถึงไว้ เขาก็จะเอาตรงนี้มาใช้ในการอ้างอิง

แต่ต้องบอกว่า ในทางกฎหมายอาญา เวลาที่เขาจะวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่ มันจะต้องมีหลักการสำคัญคือ โจทก์ต้องพิสูจน์จนสิ้นสงสัยตามสมควร ดังนั้น จะมาใช้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุติการสืบพยานอื่นๆ แล้วบอกว่า เนี่ย ถือว่าใช่แล้ว แบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้โดยหลักการ

เพราะในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ การสืบพยานต่างๆ นานาเพื่อยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์ยังไม่ได้ไปถึงขั้นที่ว่าสิ้นสงสัย เพราะฉะนั้นความเป็นได้เต็มที่ ก็คือ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญอาจจะเป็นตัวอ้างอิงสำหรับคดีอาญา แล้วก็เอาพฤติการณ์ต่างๆ มาตีความว่ามันเข้าหรือไม่ แต่จะไม่ส่งผลโดยอัตโนมัติแน่นอน เป็นไปไม่ได้ และจะอ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเพียวๆ เพื่อลงโทษก็ไม่ได้ ต้องให้โจทก์พิสูจน์ด้วยว่าตกลงจำเลยมีพฤติการณ์ที่เป็นความผิดตามที่กฎหมายมาตราต่างๆ จริงหรือไม่เพียงใด

โดยสรุป มันจะไม่เป็นผลโดยอัตโนมัติว่าพอคุณวินิจฉัยแบบนี้เสร็จ คดีต่างๆ ที่แกนนำเขาเคยถูกฟ้องไว้ก็เท่ากับเป็นความผิดไปหมด ไม่ใช่ 

ถาม : คำวินิจฉัยนี้จะส่งผลต่อกระแสการเสนอแก้ไข-ยกเลิกมาตรา 112 หรือไม่ อย่างไร

ตอบ : คิดว่าอาจจะมีผลอยู่ เพราะถ้าเราไปดูแนวทางการวินิจฉัยจะพบว่า ศาลรัฐธรรมนูญพยายามจะเอาไปให้ครอบคลุมถึงการพูดถึง 112 การเรียกร้องต่างๆ ซึ่งจะส่งผลในแง่ที่ว่า บรรดาพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่ออกมารับลูกว่าจะมีการผลักดันมาตรานี้เข้าไปถกเถียงในสภา อาจเผชิญกับสถานการณ์ที่มีพรรคการเมืองบางพรรคเริ่มอาศัยคำวินิจฉัยศาลมาอ้างว่า เมื่อเป็นแบบนี้ก็คงเอาเข้าไปในสภาไม่ได้ เพราะเป็นการล้มล้างการปกครอง หรือพรรคการเมืองบางพรรคก็เริ่มมีความพยายามไปยื่นร้องให้ยุบอีกพรรคหนึ่ง โดยไปกล่าวหาว่าเขามีส่วนในการสนับสนุนให้มีการเคลื่อนไหว 

ในอีกแง่มุมหนึ่งคือ สุดท้ายมันอาจเกิดการตีความไปได้ไหมว่า การผลักดันให้มีการยกเลิก 112 จะกลายเป็นเรื่องที่ล้มล้างการปกครองหรือไม่ คงจะมีคนพยายามตีความไปแบบนั้น แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในทางความเคลื่อนไหวของประชาชนหรือของเยาวชน พวกเขาน่าจะไม่หยุดและน่าจะดำเนินการเรียกร้องของเขาต่อไป เขาน่าจะสู้ต่อ เพราะการวินิจฉัยครั้งนี้มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากในหมู่ประชาชน 

โดยส่วนตัวคิดว่า สถานการณ์จะเดือดขึ้น เหมือนกับเขาราดน้ำมันลงบนกองไฟ มันไม่ใช่ทางออกในการที่คุณไปปิดกั้นเขาทั้งหมดแบบนี้โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถกเถียงเรื่องนี้ได้อย่างมีเสรีภาพ และเราก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้เรื่องนี้มันก็เป็นแกนกลางของข้อขัดแย้งทางการเมืองด้วย ถ้าคุณไปปิดปากเขา ปิดกั้นเขา เขาก็น่าจะรู้สึกว่าเหมือนถูกผลัก จากที่เขานำเสนอเรื่องการปฏิรูป แต่คุณไปบอกว่านี่คือการล้มล้าง เขาก็ไม่มีทางเลือกแล้ว 

ผลสะเทือนน่าจะเป็นแบนี้ แต่ยืนยันว่ามันจะไม่ใช่โดยอัตโนมัติ เพราะหลักการในการชั่งน้ำหนักในพยานหลักฐานคดีอาญาซึ่งมีโทษจำคุกมันต้องแน่นหนา ไม่ใช่เรื่องในทางการเมืองเท่านั้น อย่างมากที่สุดก็คือเอาคำวินิจฉัยนี้มาใช้ในแนวทางการตีความในแต่ละคดี แต่คงไม่สามารถเอามาแล้วบอกว่าคุณผิด ต้องมีการสืบพยานเพิ่ม มีหลักฐานแน่นหนา

ถาม : คาดว่าคำวินิจฉัยจะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองอย่างพรรคก้าวไกลไหม

ตอบ : ตอนนี้ก็เริ่มมีกระแสแล้ว เริ่มมีการยื่นร้องแล้ว ถ้าจะให้ประเมินจากสถานการณ์ที่เป็นมา การบังคับใช้กฎหมายของฝ่ายอำนาจรัฐตอนนี้ก็มีโอกาสสูงเหมือนเป็นการปูทางแล้ว และอาจจะต้องดูบทบาที่ผ่านมาของพรรคก้าวไกลเขาด้วยว่ามีจุดเชื่อมโยงไหนไหมที่ศาลจะเอาไปโยง ซึ่งก็มีโอกาสไม่น้อย ที่ผ่านมาเราก็เห็นสภาพอยู่ว่ามีความพยายามจะเอาไปโยงว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังอะไรต่างๆ นานา ลองคิดดูสิ ขนาดว่าแกนนำทั้ง 3 คนเขาไม่ได้เป็นแกนนำในทุกการเคลื่อนไหว ศาลก็ยังจะไปหยิบมาแล้วก็ไปพูดเอาเองว่าเขาเป็นผู้นำในทุกๆ การเคลื่อนไหวชุมนุม ซึ่งมันไม่จริง คุณเอาพยานหลักฐานอะไรมาบอกว่าเขาเป็นแกนนำในทุกๆ การชุมนุม