ไม่พบผลการค้นหา
‘ไพบูลย์’ เริ่มแล้วอภิปรายซัดผู้ชุมนุมจาบจ้วง หนุน ‘ประยุทธ์’ อยู่ต่ออย่าลาออกขอให้นึกถึง 8.4 ล้านเสียงที่เลือกมา อย่าสนเสียงคนไม่กี่หมื่น เสนอทำประชามติเห็นด้วยกับการชุมนุมหรือไม่

ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายว่า การชุมนุมที่มีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์มีมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา ถึงขนาดกระทำการขัดขวางรุมล้อมตะโกนด้วยถ้อยคำหยาบคายใส่ขบวนเสด็จ การกระทำของผู้ชุมนุมถือเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มีเป้าหมายหลักต้องการปฏิรูปสถาบัน แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นบุคคลที่เป็นเลิศในเรื่องที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน เป็นผู้ที่มีความเข้มแข็งในการปกป้องสถาบัน แกนนำผู้ชุมนุมจึงเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออก เพื่อให้การปกป้องประเทศชาติอ่อนแอลงจนนำไปสู่การรุกคืบต่อการปฏิรูป

ตนจึงขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในตำแหน่งทำหน้าที่ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ตาอไป ขอให้ให้บริหารประเทศด้วยความมั่นคง และเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ อย่าไปลาออกตามฝ่ายที่เรียกร้องซึ่งมีคนเพียงไม่กี่หมื่นคน ท่านต้องคำนึงถึงเสียงประชาชน 8.4 ล้านคน ที่เลือกท่านมาเป็นนายกรัฐมนตรี

ไพบูลย์ กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญ 2560 มีบทบัญญัติที่คุ้มครองสถาบันหลายมาตรา และที่ชัดเจนคือการเสนอให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่ไม่ได้กำหนดห้ามผู้เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เพื่อเปิดช่องให้แกนนำเครือข่ายผู้ชุมนุม อดีตผู้บริหารพรรคอนาคตใหม่ ได้รับเลือกเป็นส.ส.ร. การเรียกร้องให้นายกฯลาออก เพื่อนำไปสู่การสร้างรัฐธรรมนูญที่มุ่งไปสู่การปฏิรูปสถาบัน ซึ่งหากปรากฎว่าพรรคการเมืองใด ผู้บริหารพรรคการเมืองใด หรือส.ส.ของพรรคการเมืองใด ไปเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มที่ต้องการปฏิรูปสถาบัน หรือเสนอตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปสถาบัน จะเข้าข่ายสนับสนุนการเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขซึ่งเป็นคดีอาญา นอกจากนี้ ในการชุมนุมครั้งนี้นักการเมืองได้ใช้เยาวขนเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงอำนาจร ตนขอประณามนักการเมืองที่แอบข้างหลังเยาวชนของชาติ ส่วนข้อเรีบกร้องให้ยุบสภา หากนายกฯกระทำแบบนั้นจะมีผลเสียหายโดยรวม ตนจึงเสนอให้ใช้การออกเสียงประชามติ ให้ประชาชนทั้งประเทศมาออกเสียงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ต่อการจัดการชุมนุมในปัจจุบัน การออกเสียงประชามติทำได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 และอาจตราเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ก็ได้ ซึ่งหากการออกเสียงประชามติเกิดขึ้นจะเท่ากับเสียงคนทั้งประเทศได้มีส่วนร่วม ในการออกเสียงว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม และจะได้ข้อยุติซึ่งเป็นหลักการประชาธิปไตยทางตรง ไม่ใช่คนหลักหมื่นมาอ้างเสียงของประชาชนท้ั้งประเทศ ตนมั่นใจว่าประชาชนเสียงข้างมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ จะไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมที่จาบจ้วงสถาบันที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน แต่ไม่ว่าจะมีการออกเสียงประชามติหรือไม่ แกนนำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันในขณะนี้ย่อมไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั้งประเทศอยู่แล้ว ในที่สุดจะพ่ายแพ้ไปอย่างแน่นอนในเร็ววันนี้ ตนขอให้ประชาชนอีกกว่า 60 ล้านคน ออกมาพิทักษ์ รักษาชาติ ศาสนา และสถาบัน ให้จงได้